ถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ในกฎหมายรัฐธรรมนูญของสังคมประชาธิปไตยทั่วไป จะมีการระบุถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเอาไว้ เช่น สิทธิในการแสดงออก สิทธิในการได้รับการศึกษา การรักษาพยาบาล การมีที่อยู่อาศัย การทำมาหากิน การมีความปลอดภัย การเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสาร ไปจนถึงการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการบ้านเมือง เป็นต้น
เพราะสิทธิต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่มนุษย์พึงมีพึงได้รับ เป็นสิทธิที่จะอำนวยให้มนุษย์มีความเป็นอยู่ได้อย่างมีคุณค่า และมีศักดิ์ศรี
สิทธิเหล่านี้จึงเป็นของประชาชนพลเมืองทุกคนอย่างเสมอภาค และทัดเทียมกัน โดยไม่มีการแบ่งแยก แยกแยะ หรือเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด ก็พึงได้รับการปฏิบัติและการคุ้มครอง เพราะเมื่อมนุษย์เกิดมาก็ต้องมีสิทธิต่างๆ อยู่กับตัว จะหามีผู้ใดละเมิด หรือบั่นทอนมิได้
สิทธิมนุษยชน จึงไร้พรมแดน
สิทธิมนุษยชน จึงมีความเป็นสากล
สิทธิมนุษยชน จึงเป็นของมนุษย์ทุกคน
แม้ว่าจะทราบกันทั่วไปว่า มนุษย์ไม่ว่าอาศัยอยู่ในประเทศหนึ่งใด จะต้องมีสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์ แต่ในทางปฏิบัติ ก็ยังคงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนกันอยู่บนโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่มิเป็นประชาธิปไตย หรือในสังคมที่มีความเป็นเผด็จการ
ซึ่งก็คงต้องถือเป็นเคราะห์กรรมของประชาชนพลเมืองของประเทศนั้น ซึ่งคนในสังคมดังกล่าวก็ต้องร่วมมือร่วมใจ พยายามให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นทางด้านสิทธิ เพราะมนุษย์ทุกคนไม่ว่าใครก็ต่างอยากจะมีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีใครต้องการอยู่ในอาณัติของผู้ใด หรือของรัฐเผด็จการใด เพราะมนุษย์ต่างรักความเป็นตัวของตัวเอง และประสงค์จะอยู่อย่างปราศจากความกลัว และกดขี่ และอยากกำหนดวิถีชีวิตของตนเองด้วยตนเอง
และในขณะที่ยังเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ในสังคมที่สิ้นหวังทางด้านเสรีภาพ ผู้คนที่ถูกกดขี่ในประเทศของเขาที่พอมีความสามารถ ก็เลือกที่จะอพยพออกนอกประเทศ หนีร้อนไปพึ่งเย็นในประเทศอื่นๆ เนื่องจากมนุษย์นั้นต้องการหาความเป็นอิสระเสรี เขาต้องการได้รับการปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์ เขาต่างอยากมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
และเมื่อคนเหล่านี้มีจำนวนมหาศาล ก็จะกลายเป็นการทะลักเข้ามายังอีกประเทศหนึ่ง กลายเป็นกลุ่มผู้อพยพไปโดยปริยาย ซึ่งประเทศที่รองรับผู้อพยพนี้ ก็สมควรจะได้ตอบสนองวัตถุประสงค์ของพวกเขา โดยปฏิบัติกับเขาตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล โดยอย่างน้อยก็ในเรื่องสิทธิพื้นฐาน เช่น ที่พักพิง การศึกษา การรักษาพยาบาล การคุ้มครองความปลอดภัย และการมีอาชีพที่เหมาะสม เป็นต้น
หากเราจำจะต้องอพยพลี้ภัยกันแล้ว เราก็คงต้องการได้รับการปฏิบัติเยี่ยงมนุษยธรรม และฉันใดฉันนั้น เมื่อผู้อื่นหนีร้อนมาพักพิงที่บ้านเรา เราก็ควรปฏิบัติกับเขาเยี่ยงนั้น
ที่ต้องย้ำเตือนสติกันเรื่องนี้ ก็เพราะประเทศส่วนใหญ่ที่รองรับผู้อพยพ (รวมทั้งประเทศไทย) มักจะมีพื้นฐานของหลักปฏิบัติ มาจากเรื่องกฎหมายการเข้าเมือง และกฎหมายความมั่นคงเป็นหลัก ซึ่งทำให้บางครั้งเกิดการมองข้ามหลักสิทธิมนุษยชน หลักความเป็นเพื่อนมนุษย์ หลักความเป็นภราดรภาพไปอย่างไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะเมื่อกระแสชาตินิยมก่อตัวเข้มข้น หลักมนุษยธรรมก็จะถูกลืมเลือน ความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็ขาดหายไป
ผลก็คือ การปฏิบัติการรองรับผู้อพยพลี้ภัยด้วย การจองจำ การคุมขัง กักตัว กักบริเวณ แถมยังมีกฎเกณฑ์ว่าด้วยการแยกครอบครัว (อันเนื่องมาจากกฎแยกหญิงจากชาย) และที่ร้ายยิ่งคือ การแยกแม่จากลูก โดยเฉพาะทารกที่ยังต้องการน้ำนมจากแม่
เมื่อมองไปอีกมุมหนึ่ง ผู้อพยพลี้ภัยเหล่านี้ยังกลับบ้านเกิดเมืองนอนของเขาไม่ได้ เนื่องจากภยันตรายต่างๆ ในประเทศเขายังคงอยู่ และเมื่อมองไปในอนาคต ผู้อพยพลี้ภัยเหล่านี้จำนวนหนึ่งก็ยังหาประเทศที่สามที่พร้อมจะให้เขาไปตั้งรกรากไม่ได้ ก็จะเหลือแต่ประเทศที่รองรับการอพยพของพวกเขาอยู่เท่านั้น
ดังนั้น แทนที่เราจะทำเพียงแค่กักขังจองจำเขา ลองหันมาเป็นการสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน ผ่านทางการฝึกสอนงานให้ผู้อพยพลี้ภัย การอนุญาตให้เขาได้ทำงานหารายได้และช่วยเรื่องภาษี และช่วยแบ่งเบาภาระการรับรองดูแลประเทศทางผ่าน ในสาขาอาชีพที่ขาดแคลนของประเทศนั้นๆ ซึ่งหมายความว่าประเทศที่รองรับผู้อพยพลี้ภัยชั่วคราวก็จะได้แรงงานเสริม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศผู้รองรับ และช่วยแบ่งเบาภาระการรับรองดูแลประเทศทางผ่าน
ที่สำคัญ มันเป็นการให้ผู้อพยพลี้ภัยได้มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ได้ดำรงชีพด้วยตนเอง ได้พัฒนาตนเอง ได้มีรายได้เลี้ยงครอบครัวตนเอง แทนที่จะปล่อยให้คนเหล่านี้ตกอยู่ในสถานะนักโทษ ที่ถูกคุมขัง จำกัดพื้นที่ในรั้วแคบๆ และชีวิตวันหนึ่งๆ ก็ได้แต่นั่งเฉยๆ รออาหารแต่ละมื้อที่รัฐ หรือมีผู้บริจาคจัดหามาให้ ซึ่งนอกจะเสียเวลา เสียประโยชน์แก่การพัฒนาตนเองแล้ว ยังเสียซึ่งสิทธิเสรีภาพในการเป็นมนุษย์อีกด้วย
ประเทศไทยมีผลงานและมีประสบการณ์เป็นที่ชื่นชมของโลกมาโดยตลอด ในการต้อนรับดูแลและการประสานส่งไปตั้งถิ่นฐานถาวรในประเทศที่สาม หรือส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง ซึ่งมักจะเป็นเรื่องของผู้อพยพลี้ภัยตามแนวชายแดน
แต่วันนี้มีผู้อพยพลี้ภัยในตัวเมือง (Urban Refugee) ที่อยู่ในการดูแลของฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง ที่อยู่ในสภาพน่าอดสู ขาดวิถีมนุษยชาติพื้นฐาน ก็ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทยและสังคมไทยจะเปลี่ยนจากใช้กฎหมายเข้าเมือง และกฎหมายความมั่นคงเป็นตัวตั้ง มาใช้หลักสิทธิมนุษยชน และหลักมนุษยธรรม และการปฏิบัติที่เป็นสากล
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี