นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานกรรมการนโยบายพรรค แถลงถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตั้งคำถามที่มางบประมาณที่จะใช้กับโครงการ “เกิดปั๊บรับสิทธิ์เงินแสน” ของพรรคประชาธิปัตย์
โดยนายกรณ์แถลงว่า งบประมาณที่จะใช้ในการสนับสนุนโครงการดังกล่าว จะมาจากงบประมาณรายจ่ายประจำของทุกปีงบประมาณ โดยตลอดโครงการดังกล่าวที่กำหนดให้เงินอุดหนุนเด็กปฐมวัยตั้งแต่อายุ 0-8 ปี นั้น จะใช้งบประมาณสูงสุดที่ 7 หมื่นกว่าล้านบาท หรือตกปีละประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ หวังว่านายกฯ จะเข้าใจหลักความคิดของพรรคในนโยบาย
ดังกล่าว ที่ให้ความสำคัญกับเด็กแรกเกิดจนถึงเด็กปฐมวัย ซึ่งอาจเป็นความคิดที่แตกต่างกันของพรรคการเมืองที่ให้ความสำคัญกับเด็กมากกว่าเรื่องอื่นๆ
ก่อนหน้านี้ นายกรณ์ ได้ให้รายละเอียดในเรื่องนี้ ในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ที่ออกอากาศทางช่อง NOW 26 ว่า
“อันดับแรกต้องทำความเข้าใจก่อน ในบางเรื่องมีความจำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณในการแก้ปัญหา จากการวิเคราะห์ กลุ่มที่ควรได้รับการสนับสนุนที่สุดคือ เด็กปฐมวัย หรือเด็กแรกเกิด และจากข้อมูลเชิงวิชาการ ยืนยันชี้ให้เห็นว่า ช่วงการพัฒนาที่ดีที่สุดของมนุษย์ คือในวัยช่วง 4-6 ปีแรก โดยบังเอิญเด็กว่าช่วงนี้ จะมีการช่วยเหลือและลงทุนกับเด็กช่วงนี้น้อยมาก แต่มักจะลงทุนกับเด็กโต สัมพันธ์กับทางฝ่ายวิชาการที่วิเคราะห์ว่า การลงทุนกับเด็กในวัยนี้น้อยมาก จึงเป็นเหตุผลทำให้เด็กไทยพัฒนาได้น้อย โดยเฉพาะเด็กยากจน ซึ่งลูกคนรวยไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ เพราะเกิดมาก็มีนมดีๆ กิน มีอาหารดีๆ กิน มีการบำรุงสมองที่เพียงพอ แต่ยิ่งจนยิ่งไม่มี สมมุติว่าเราไปทางภาคอีสานจะเห็นว่าเด็กเกือบ 1 ใน 3 ที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ตัวเอง สาเหตุเหล่านี้เป็น
สาเหตุทางเศรษกิจ เพราะพ่อแม่ต้องเข้าเมืองไปหางานทำ เพราะไม่มีทุนทรัพย์ที่จะดูแลลูกของตัวเองได้ เพราะฉะนั้น จึงได้ตกผลึกทางวิชาการ ต้องทำอะไรบางอย่าง ที่ต้องยกระดับเด็กไทยในวัยนี้ และนี่คือคำตอบที่พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอ
“โดยกลุ่มแรกที่ได้ลงทะเบียนไว้ในโครงการรัฐบาลในปัจจุบัน จากนั้นก็ให้เด็กที่เกิดใหม่ทุกคน และตั้งใจให้ย้อนหลังอีก ตั้งแต่ 15 ธ.ค.2561 เด็กที่เกิดใหม่ทุกคนจะได้สิทธิ์นี้ นี่เป็นรัฐสวัสดิการ โดยภาระทางการคลังนั้น ลงปีละ 12,000 ล้านบาท ในปีแรก จะมีเด็ก 400,000 กว่าคนได้รับสิทธิ์ แล้วบวกกับเด็กที่เกิดใหม่ ปี 2-3 จะเพิ่มขึ้น ประมาณหมื่นล้าน จนถึงปีที่ 8 หลังจากนั้นจะลดลง
“แล้วประเทศไทยจะแบกได้ไหม? ตอนนี้งบประมาณแผ่นดินอยู่ที่ 3 ล้านล้าน และเพิ่มขึ้นมา 4-5% งบนั้น ควรที่จะจัดสรรให้ใครบ้าง? ให้เด็กครับ เพราะการศึกษา การพัฒนาการสำคัญที่สุด และจะสามารถการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในระยะยาวได้”
ขณะที่ในเฟซบุ๊ค นายกรณ์ก็เคยชี้แจงครั้งหนึ่งแล้วว่า “มีคำถามมามากว่า แจกเงินแบบนี้ดีหรือ? ผมขอชี้แจงง่ายๆว่า เงินเดือนละพัน มีคำถามเยอะที่สุด แต่จริงแล้ว ทางวิชาการเป็นเรื่องที่จำเป็นมากที่สุดเรื่องหนึ่ง วัตถุประสงค์คือช่วยเป็นค่าอาหารให้เด็กไทยมีโภชนาการที่ดีขึ้น ช่วงที่สำคัญมากคือช่วง 8 ปีแรก ซึ่ง 1,000 บาทต่อเดือนนักวิชาการ TDRI ยังบอกว่าน้อยไป
(1,000/30 วัน/3 มื้อ = มื้อละ 11 บาท) เด็กไทยถึงไม่พัฒนา
ส่วนที่ให้ “ถ้วนหน้า” เพราะจากประสบการณ์ รัฐไม่เก่งเรื่องการคัดกรอง คือคัดแล้วคนจนจริงจะไม่ได้สิทธิ์เสียเยอะ ยิ่งมีเงื่อนไขมากคนจนจริงยิ่งเข้าถึงยาก TDRI จึงแนะนำว่าให้ “ถ้วนหน้า” ดีกว่า แล้วเราจะตั้งกองทุน ใครสละสิทธิ์เอาใส่ทุนกลับไปช่วยเด็กยากจน”
ผมชอบนะครับ ที่มีการตั้งคำถามเชิงสร้างสรรค์ต่อการประกาศนโยบายของพรรคการเมือง เราควรสนใจ “นโยบาย” กันได้แล้ว แต่ตั้งคำถามเพื่อให้เราเองกระจ่าง ก่อนจะ “เลือก” หรือ “ไม่เลือก”
เพียงแต่ว่า คำถามว่า “เอาเงินมาจากไหน” นั้น ไม่ใช่คำถามที่ผมเป็นห่วงเลย เพราะอะไรครับ เพราะกฎหมายบังคับให้ทุกพรรคการเมือง “ต้องชี้แจง” อยู่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ท่านคงลืมไป หรือไม่ได้ลืมหรอก แต่อยากทราบ จึงได้ถาม
เรื่องการลงทุนกับ “คน” สำคัญนะครับ ก่อนจะตั้งคำถามกับ “เงิน” ดูหลักการและเหตุผลกันก่อนก็ไม่เลว
ในเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงในวันที่ 15 ธันวาคม 2561 ด้วยการเกริ่นนำก่อนว่า อยากจะย้ำว่า ในมุมมองของพรรคประชาธิปัตย์การเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะมาถึงนี้ พรรคต้องการให้เป็นโอกาสของประชาชน โอกาสของประเทศ ไม่ต้องการให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเพียงพิธีกรรมสำหรับนักการเมืองไม่กี่ร้อยคนต่อรองในเรื่องของอำนาจหรือผลประโยชน์ แต่ต้องการให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะหลุดพ้นจากวังวนเดิมๆ ในรอบหลาย 10 ปีที่ผ่านมา และเป็นโอกาสของพี่น้องประชาชนคนไทยที่จะกำหนดอนาคตของตนเอง ยกระดับความเป็นอยู่ของตนเอง และทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองของเราเดินหน้าก้าวหน้าไปได้
เพราะฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงเน้นและให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเรื่องของนโยบายที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหลังการเลือกตั้ง วันนี้เราทราบดีว่าปัญหาที่เป็นความทุกข์ของประชาชนมากที่สุดคือเรื่องเศรษฐกิจ และปากท้อง ซึ่งผมมั่นใจว่าเมื่อเข้าสู่การหาเสียง เข้าสู่การเลือกตั้ง จะมีพรรคการเมืองทุกพรรคเสนอนโยบายจำนวนมากที่จะมาตอบโจทย์ในเรื่องของปัญหาปากท้องที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า
แต่สำหรับประชาธิปัตย์ที่เรามองว่าโอกาสของการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งนี้ต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีความยั่งยืนต้องมองถึงการลงทุนสำหรับอนาคตของประเทศ เป็นการลงทุนระยะยาว และความเชื่อของประชาธิปัตย์ที่ได้แสดงมาโดยตลอดก็คือเรามองว่าถึงที่สุดแล้วปัจจัยที่จะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของสังคมและประเทศชาติได้ ก็คือ “คน”
ดังนั้นจึงเลือกที่จะแถลงนโยบายด้านการศึกษาก่อนเรื่องอื่น เพราะพรรคมองว่าเป็นการลงทุนที่จะมีความหมายที่สุดสำหรับอนาคตในระยะยาวของประเทศ
วันนี้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม ไม่ได้อยู่ที่ปัญหาปากท้องเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่สังคมและเศรษฐกิจไทยกำลังรอคอยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือหลายคนใช้คำว่า “ปฏิรูปครั้งใหญ่” เพื่อยกระดับให้หลุดพ้นจากการเป็นประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลาง ที่ยังขาดสวัสดิการ ที่จะต้องเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ ที่จะต้องเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงที่มากับเทคโนโลยี ซึ่งการปรับเปลี่ยนปฏิรูปตรงนี้เราบอกว่าถ้าไม่ยกเครื่องการศึกษาไทยเราจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้
เช่นเดียวกันในเรื่องของความเหลื่อมล้ำที่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในปัจจุบัน การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่จะได้ผลที่สุดในระยะยาว ก็คือการที่เด็กไทยลูกหลานคนไทยทุกคนมีโอกาสในการพัฒนาตนเองอย่างเท่าเทียมกัน
ฉะนั้น นี่คือเหตุผลที่วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้ตัดสินใจว่านโยบายด้านแรกที่เราต้องการจะแถลงต่อสาธารณะก็คือนโยบายด้านการศึกษา โดยเราพร้อมและกล้าที่จะยกเครื่องการศึกษาไทย และยกระดับคุณภาพของลูกหลานหรือเด็กไทยเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ
เป้าหมายของนโยบายด้านการศึกษาของพรรคประชาธิปัตย์ก็คือการแก้ปัญหาพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นปัญหาคุณภาพการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำ หรือไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ระบบการศึกษาจะต้องปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง โดยปลายทางแล้วสิ่งที่เราต้องการเห็นก็คือ เด็กไทย เยาวชนไทย ลูกหลานไทยเติบโตมามีคุณลักษณะ 7 ประการ
ประการที่หนึ่ง จะต้องเป็นคนที่มีสุขภาพดี แข็งแรง ซึ่งถือเป็นพื้นฐานเพราะตรงนี้มีผลต่อพัฒนาการด้านสมอง ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ไอคิว
ประการที่สอง ระบบการศึกษาวันนี้ต้องสร้างทักษะให้คนสามารถคิดเป็นวิเคราะห์ได้ จุดประสงค์ของการศึกษาหลักต่อไปจะไม่ใช่เรื่องของการให้ความรู้ เพราะการได้ความรู้หรือการได้ข้อมูลเป็นสิ่งที่ต่อไปนั้นคนทุกคนสามารถแสวงหาเพื่อตัวเองได้ค่อนข้างมาก แต่สำคัญกว่าคือเมื่อมีข้อมูลเหล่านั้นนำมาสู่การเป็นความรู้ สามารถคิด วิเคราะห์ และนำความรู้นั้นไปใช้ได้หรือไม่
ประการที่สาม ต้องพูดให้ชัดว่าในโลกปัจจุบันคนไทยทุกคนต้องสามารถใช้สองภาษาได้เป็นอย่างน้อย ทักษะในเรื่องสองภาษาจะเป็นเป้าหมายสำคัญของนโยบายการศึกษาของพรรคประชาธิปัตย์
ประการที่สี่ เด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่จะต้องสามารถใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ได้ทั้งในการพัฒนาตนเอง และต่อไปก็คือนำมาใช้ในการพัฒนาบ้านเมือง
ประการที่ห้า การสร้างคน เราไม่ได้เน้นในแง่ความสามารถเพียงเท่านั้น แต่เมื่อเติบโตมาแล้วจะต้องเป็นคนที่มีคุณธรรม และมีจิตสาธารณะ
ประการที่หก นอกจากการมีคุณธรรม และจิตสาธารณะแล้ว จะต้องมีความเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ของตนเอง จึงจะเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ จึงจะเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมได้
ประการที่เจ็ด มีทักษะชีวิต ผมยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆ สักเรื่องหนึ่งก็คือ ทักษะที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการเรื่องการเงิน เพราะปัญหาที่สะสมมาในประเทศปัจจุบันนี้ ปัญหาหนึ่งก็คือปัญหาเรื่องของหนี้สิน ซึ่งหลายครั้งเกิดจากการที่คนของเราไม่มีทักษะในการบริหารจัดการเรื่องเหล่านี้ เพราะไม่มีโอกาสได้รับการฝึกฝน หรือการให้ทักษะจากระบบการศึกษา นี่คือเป้าหมาย 7 ประการที่เราตั้งไว้สำหรับลูกหลานของเรา
จากนั้นจึงพูดถึง 10 มาตรการที่จะทำ หนึ่งในสิบก็คือ เกิดปั๊บรับสิทธิ์เงินแสนนี่แหละ ใครอยากอ่านฉบับเต็มๆ ของมาตรการทั้งสิบ พร้อมคำอธิบาย เข้าไปที่ลิงค์นี้ครับ http://61.91.248.146/th/news-activity/article/detail2.php?ELEMENT_ID=25907&SECTION_ID=29
ช่วยกันทำ “การเมืองสร้างสรรค์” ผ่านการถามตอบกันอย่างสร้างสรรค์ ท้ายที่สุด คนได้รับประโยชน์ คือ ประชาชนทุกคน ดังนั้น จงช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ดีแบบนี้กันให้มากๆครับ!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี