พลันที่ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติและคณะ นำซองชื่อผู้ที่พรรคจะเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีไปยื่นกับคณะกรรมการการเลือกตั้งตามขั้นตอนที่ต้องทำ และเปิดเผยกับสื่อมวลชนท่ามกลางข่าวลือที่นำมาก่อนล่วงหน้าว่า พรรคไทยรักษาชาติจะเสนอพระนามของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และผลปรากฏว่า เป็นการเสนอพระนามของท่านจริงๆ
สังคมเกิดความสับสน ตกใจ และพะว้าพะวงว่าควรวางตนอย่างไร เนื่องจากพระองค์ท่านเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์ (Royal Family) จักรี ขณะที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งในสังคมไทย เราต่างวางตำแหน่งของพระราชวงศ์ในสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เหนือความขัดแย้งทางการเมือง แต่บัดนี้มีพรรคการเมืองหนึ่งนำเสนอทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี โดยที่พระองค์ก็ทรงทำหนังสือยินยอมตามขั้นตอนให้พรรคไทยรักษาชาตินำมาแสดงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งอย่างถูกต้อง
ความจริงแรกที่สื่อนำเสนอคือ พระองค์ท่านทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ตั้งแต่ปี 2515
ต่อมาพรรค ทษช. ได้ออกแถลงการณ์มีใจความสรุปว่า จากกรณีพรรคมีมติเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯบัญชีรายชื่อนายกฯของพรรคนั้น ขอชี้แจงว่า พรรคได้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ถูกเสนอชื่อตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ 2560 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องพบว่าทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน
1.ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯได้ลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ในฐานะสมเด็จเจ้าฟ้า ตามประกาศราชกิจจานุเบกษาฉบับลงวันที่ 25 ก.ค. 2515 ทำให้สถานะทางกฎหมายของท่านเป็นสามัญชนตั้งแต่บัดนั้น
2.คุณสมบัติของผู้จะอยู่ในบัญชีรายชื่อว่าที่นายกฯตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 88 และ 89 กำหนดให้ต้องมีหนังสือยินยอมของบุคคลได้รับเสนอชื่อ ซึ่งทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯได้มีหนังสือตอบรับมายังพรรคและได้ยื่นกกต.ไปแล้ว
และ 3.กรณีผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อว่าที่นายกฯเป็นผู้ไม่ได้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ฝ่ายกฎหมายของพรรคทำการตรวจสอบและยืนยันว่า ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯไม่ได้ขาดคุณสมบัติจากกรณีดังกล่าว ตามคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2562 ระบุว่า การไม่ได้ใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นข้อห้ามของรัฐธรรมนูญในอดีต แต่รัฐธรรมนูญปัจจุบันได้ยกเลิก ห้ามเพียงต้องไม่เคยเป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น
ต่อมาวลา 16.00 น. บนอินสตาแกรม @nichax ซึ่งเป็นไอจีส่วนพระองค์ของ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯได้โพสต์ข้อความว่า “ขอขอบคุณสำหรับความรักและทุกกำลังใจ และความสนับสนุนจากพวกเราคนไทยทุกคน ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งที่สุดและอยากบอกว่า อยากเห็นพวกเราได้มีโอกาส มีสิทธิที่จะมีโอกาสและมีความสุขในประเทศของเราและขอชี้แจงว่า ดิฉันได้ลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์และอยู่ในฐานะสามัญชนแล้ว ดิฉันจึงขอใช้สิทธิและเสรีภาพอย่างสามัญชนภายใต้รัฐธรรมนูญกฎหมายและข้าพเจ้ายินยอมให้พรรคไทยรักษาชาติใช้ชื่อเพื่อเสนอตัวเป็นนายกฯเป็นเพียงการแสดงถึงสิทธิ เสรีภาพและความไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ เหนือปวงชนชาวไทยตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ หากแต่การกระทำครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้กระทำด้วยความจริงใจและความตั้งใจเสียสละในการขอโอกาสนำประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง”
กระนั้นก็ตาม มิได้ทำให้ “ความกระสับกระส่าย” ของประชาชนหมดไป เนื่องจากตลอดกาลที่ผ่านมา ปวงชนชาวไทยมิได้ปฏิบัติต่อพระองค์ดุจสามัญชน หากแต่ถวายความเคารพและแสดงออกต่อพระองค์ในฐานะสมาชิกในพระบรมราชวงศ์ เช่นกันกับพระองค์ที่ก็ทรงปรากฏพระองค์ในฐานะดังกล่าวในกรณียกิจต่างๆ เสมอมา หลายคนจึงวิตกกังวลว่า เขตแดนแห่งสถาบันฯ กับการเมือง จะไม่มีช่องว่าง จะเข้ามาคลุกเป็นเนื้อเดียวกันแล้วเช่นนั้นหรือ
นายไพบูลย์ นิติตะวัน เข้ายื่นหนังสือกับ กกต. ให้ดำเนินการหาความชัดเจนในหลายๆ ประเด็น ทั้งนี้รายละเอียดในหนังสือดังกล่าว ระบุว่า
“พรรคไทยรักษาชาติ โดยกรรมการบริหารพรรค มีมติเสนอชื่อ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ในบัญชีนายกรัฐมนตรี ของพรรคไทยรักษาชาติ และมีการแถลงข่าวประชาสัมพันธ์ต่อสื่อฯนั้น เห็นว่าแม้นทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี จะทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์แล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 แต่ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงเป็นเจ้าฟ้าชั้นทูลกระหม่อม ทรงเป็นพระราชธิดา พระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และทรงเป็นพระเชษฐภคินีพระองค์เดียวใน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ดังนั้น ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี จึงทรงเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 5 บัญญัติไว้
...ดังนั้น การที่พรรคไทยรักษาชาติได้ยื่นเสนอพระนามของ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ในบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยรักษาชาติ ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ย่อมต้องมีการนำพระนามของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ไปใช้ประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง ของพรรคไทยรักษาชาติ อันเป็นการเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง สส. พ.ศ. 2561 หมวด 4 ลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งข้อ 17 “ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง”
...ดังนั้น เพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน จึงขอเสนอความเห็นมายังกกต.เพื่อพิจารณาและวินิจฉัย การกระทำของพรรคไทยรักษาชาติว่า เข้าข่ายขัดต่อระเบียบกกต.ดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ หากมีปัญหาขัดต่อระเบียบดังกล่าว ขอให้กกต.สั่งให้พรรคไทยรักษาชาติ ระงับการเสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดีในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยรักษาชาติ...”
เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา เผยแพร่บทความของ ผศ.กิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์ ความตอนหนึ่งว่า
“บรรดาเหตุผลที่พรรคไทยรักษาชาติกล่าวอ้างมานั้น เป็นเพียงการพิจารณาแต่ถ้อยคำตัวอักษรของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 เท่านั้น โดยไม่ได้พิจารณาถึงหลักการพื้นฐานที่ถือได้ว่าเป็น “จารีตประเพณีทางรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ที่ยึดถือมาโดยตลอดนับตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตย เมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ซึ่งได้เคยบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475 ที่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก ในมาตรา 11 ว่า
“พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป โดยกำเนิดหรือโดยแต่งตั้งก็ตาม ย่อมดำรงอยู่ในฐานะเหนือการเมือง”
แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับต่อๆ มา จะไม่ได้มีการบัญญัติเนื้อความดังกล่าวเอาไว้ก็ตาม แต่ในทางวิชาการกฎหมาย สามารถตีความได้ว่า หลักการนี้ก็ยังคงอยู่ เพราะถูกยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องต่อๆ กันมา ด้วยความรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและต้องปฏิบัติตาม เป็นจารีตประเพณีในทางรัฐธรรมนูญอย่างหนึ่ง ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ก็ได้รับรองไว้ในมาตรา 5 วรรคสองว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ปัญหาสำคัญที่ต้องพิจารณาต่อไป คือ การที่ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ได้ลาออกจากฐานันดรศักดิ์ตั้งแต่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2515 จะถือว่าเป็นประชาชนธรรมดาที่สามารถยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้หรือไม่นั้น ในประเด็นนี้คำตอบอยู่ที่บันทึกรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 36/2475 วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2475 (ตอนบ่าย) ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ฉบับแรก ซึ่งเป็นการตอบข้อสงสัยของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในประเด็นพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดสละฐานันดรศักดิ์มาเป็นสามัญชน จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองได้หรือไม่ โดยกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นนักกฎหมายสำคัญสองท่าน คือ พระยามานวราชเสวี และพระยานิติศาสตร์ไพศาล ที่ขอคัดมาให้เห็นดังนี้
พระยามานวราชเสวีได้กล่าวตอบไว้โดยบันทึกไว้ในรายงานประชุมสภาฯว่า “ขอตอบนายมังกรที่ยอมให้เจ้าลดฐานะและเข้ามาอยู่ในวงการเมืองได้ ข้อนี้ถ้ากำเนิดเป็นเจ้า จะปฏิเสธว่าไม่ใช่เจ้าไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะยอมให้ลดตัวเป็นคนชั้นต่ำโดยไม่ห้ามว่าไม่ควรให้ลดฐานะมาอยู่ในวงการเมืองแล้ว ย่อมให้โทษ เพราะฉะนั้นควรให้ท่านคงอยู่ในฐานะเดิม”
พระยานิติศาสตร์ไพศาลได้ชี้แจงเพิ่มเติมอีกว่า “ทุกประเทศเขาไม่รับเจ้าเข้าสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนั้น ถ้าไม่มีกฎหมายให้เจ้าลาออกจากเจ้าได้แล้ว เจ้าชายก็ลาออกไม่ได้ ปัญหาที่ว่าเจ้าไม่เป็นเจ้าคงไม่มี”
สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าโดยกำเนิดนั้น ไม่มีปัญหา แต่ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งขึ้นจากราษฎรสามัญแล้วผู้นั้นลาจากเจ้า ปัญหาจึงมีว่าผู้ที่ได้รับแต่งตั้งและลาออกแล้ว จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองอีกได้หรือไม่ และเห็นว่าถ้าลาออกแล้วเข้ามาได้ เพราะพวกเหล่านี้เป็นคนไทย ชาวต่างประเทศที่แปลงชาติเป็นคนไทยแล้ว ยังมีสิทธิที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองได้ ฉะนั้นบุคคลประเภทนี้จึงควรอนุญาต”
จากรายงานการประชุมข้างต้น จะเห็นได้ว่า การเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่เป็นเจ้าแต่กำเนิดจะไม่สามารถลาออกจากความเป็นเจ้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ เว้นแต่บุคคลที่เป็นคนสามัญชนมาก่อน แล้วได้รับการแต่งตั้งมีฐานันดรศักดิ์ หากลาออกจากฐานันดรศักดิ์ ก็จะกลับเป็นคนธรรมดาที่สามารถยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ ดังนั้นแล้ว ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ จึงเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ด้วยขัดต่อจารีตประเพณีทางรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ห้ามพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองนั่นเอง”
สุดท้าย ปวงชนชาวไทยสิ้นความกังวลและสับสนทั้งหลายลงอย่างหมดสิ้น เมื่อโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เผยแพร่พระราชโองการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวางกูร ความว่า
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นศูนย์รวมและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนชาวไทย พระมหากษัตริย์และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ทรงดำรงสถานะอยู่เหนือการเมือง และทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประเทศชาติและประชาชนมาโดยตลอด ดังเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่าตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี แห่งการครองสิริราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อความผาสุกและความอยู่ดีกินดีของประชาชนทรงปกครองประเทศด้วยทศพิธราชธรรม และนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยก่อการร้าย ภัยพิบัติ และภัยที่เกิดจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองในประเทศ ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุข และดูแลปกป้องประชาชนด้วยน้ำพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาอย่างมิอาจประมาณได้ ประชาชนทุกหมู่เหล่าเคารพรัก และเทิดทูนพระองค์เสมือนด้วยบิดา จึงทรงเป็น “พ่อแห่งแผ่นดิน” โดยแท้จริง
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทั้งยังเป็นพระเชษฐภคินีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ แม้จะทรงกราบถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์ไปแล้วตามกฎมณเฑียรบาล โดยได้กราบบังคมทูลพระกรุณาเป็นลายลักษณ์อักษร หากยังทรงสถานะและดำรงพระองค์ในฐานะสมาชิกแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงเป็นที่รักใคร่ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนี ตลอดจนเป็นที่เคารพยกย่องของพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์และประชาชนชาวไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ด้วยทรงประกอบพระกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน โดยในการดำรงพระองค์และการประกอบพระกรณียกิจต่างๆ นั้น ทรงปฏิบัติด้วยการถวายงานของข้าราชการในพระองค์ และหน่วยราชการต่างๆ ของหน่วยราชการในพระองค์ตลอดมา การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อโบราณราชประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
อนึ่ง บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกฉบับรวมทั้งฉบับปัจจุบัน มีหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์เป็นการเฉพาะ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รองรับสถานะพิเศษของสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประเพณี
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่เหนือการเมืองและทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิด กล่าวหา หรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ ซึ่งบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญดังกล่าวย่อมครอบคลุมถึงพระราชินี พระรัชทายาท และพระบรมราชวงศ์ซึ่งมีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ ดังที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจร่วมกับพระองค์หรือแทนพระองค์อยู่เป็นนิจ ดังนั้น พระราชินีพระรัชทายาท และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ จึงอยู่ในหลักการเกี่ยวกับการดำรงอยู่เหนือการเมืองและความเป็นกลางทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ด้วย และไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมืองได้ เพราะจะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประกาศ ณ วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๒ เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน
ทันใดนั้น เสียงถอนใจโล่งอกก็ดังกึกก้องขึ้นพร้อมกับคำว่า “ทรงพระเจริญ” ทุกข์ใจของราษฎร มลายหายสิ้นในบัดดลนั้น
ในเวลาราษฎรนอนไม่หลับ
พระมาดับทุกข์ใจให้สูญหาย
แผ่นดินสิ้นทุกข์เข็ญเย็นสบาย
ราษฎร์ถวายบังคมประนมมือ
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
พระราชทานหลักการให้ยึดถือ
แผ่นดินไหนจะโชคดีเช่นนี้ฤา
นี่แหละคือ “มหาราชา” คู่ฟ้าไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี