ความผูกพันอันเกิดมาจากการเป็นน้องพี่ร่วมสถาบันการศึกษาวิชาทหารจากโรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า คือสายใยเหนียวแน่นที่ทำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รักใคร่กลมเกลียวกันอย่างลึกซึ้ง ชนิดที่ว่าไม่มีสิ่งใดทำให้สองคนนี้ตัดขาดแยกจากกันได้ นี่คือความเข้าใจของคนทั่วไป เมื่อมองภาพความสัมพันธ์แน่นเหนียวของนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงของประเทศไทย ที่กำลังดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนี้
หลายคนที่ติดตามเรื่องราวของทั้งสอง “ประ” ให้เหตุผลว่า เพราะสองคนนี้คือพี่น้องจากสาย “บูรพาพยัคฆ์” (อันที่จริงต้องโยงไปถึง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่เนื่องจากบทความวันนี้ต้องการขีดวงของเนื้อหาให้อยู่เฉพาะ ประยุทธ์-ประวิตร เท่านั้น จึงไม่ได้พูดถึง อนุพงษ์) ดังนั้นไม่ว่าสาธารณชนจะวิพากษ์วิจารณ์ หรือมองเห็นว่าประวิตรคือ “จุดอ่อน จุดบอด ข้อด้อย” ของรัฐบาล คสช. มากมายสักเพียงใด แต่ประวิตรก็ยังคงอยู่ร่วมกับรัฐบาล คสช. ที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เสมอมา ทำให้สาธารณชนเชื่อว่าสองคนนี้ตัดกันไม่ได้ ขายกันไม่ขาด
แม้ในระยะที่ผ่านมา จะพบว่ารัฐบาล คสช. ปรับคณะรัฐมนตรีไปแล้วหลายครั้ง แต่ทุกครั้งรายชื่อของประวิตรก็ยังคงอยู่ที่ตำแหน่งเดิมในรัฐบาล แม้จะมีข่าวเล็ดลอดออกมาเป็นระยะๆ ว่าประยุทธ์มีความเห็นไม่สอดคล้องกับประวิตรในหลายกรณี และมีหลายครั้งที่ข่าวเสนอทำนองว่า ประยุทธ์จะปรับประวิตรออกจากการเป็นรัฐมนตรี (ข่าวนี้ปรากฏในช่วงปลายปี 2560) แต่สุดท้ายประวิตรก็ยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเช่นเดิม ส่วนข่าวที่รายงานออกมาก็กลายเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านเลยไป
คอข่าวการเมืองไทยรู้ดีว่า ประยุทธ์-ประวิตร มีความเห็นไม่สอดคล้องกันหลายเรื่อง อาทิ การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับสูง เรื่องการ Set Zero คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมถึงข่าวเรื่องที่ว่าจะมีการปรับประวิตรออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รมว.กลาโหม) โดยให้นั่งในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเพียงตำแหน่งเดียว แล้วประยุทธ์จะนั่งควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม แต่สุดท้ายข่าวที่นำเสนอกันอย่างครึกโครมก็กลายเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านเลยไป
เมื่อรูปการณ์ปรากฏออกมาเช่นนี้ ก็ทำให้คนที่ไม่สามารถจะหาเหตุผลอื่นๆ มาสนับสนุนปรากฏการณ์เหล่านี้ได้ ต่างให้ข้อสรุปว่า นี่เป็นเพราะความแนบแน่นของพี่น้องบูรพาพยัคฆ์
แม้จะดูเป็นการให้เหตุผลที่ค่อนข้างเลื่อนลอย แต่ก็ยังไม่มีเหตุผลอื่นใดที่มีน้ำหนักมากไปกว่านี้
แม้คนจำนวนไม่น้อยในสังคมจะตั้งคำถามเชิงลบมากมายโดยพุ่งตรงไปยังประวิตร อาทิ เรื่อง เที่ยวบินเช่าเหมาลำไปฮาวาย ที่สังคมมองว่าเป็นการผลาญเงินงบประมาณแผ่นดินโดยไม่สมเหตุสมผล เรื่องนาฬิกาหรูหลายสิบเรือนที่อ้างว่ายืมมาจากเพื่อน เรื่องแหวนเพชรเม็ดโตที่อ้างว่าเป็นของแม่ รวมถึงล่าสุดเรื่องการโยกย้าย “บิ๊กโจ๊ก” พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล ออกจากสถานภาพการเป็นตำรวจ แล้วให้มีสถานภาพข้าราชการพลเรือน สังกัดสำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี
ถามว่าเรื่องบิ๊กโจ๊กเกี่ยวข้องกับ“บิ๊กป้อม” พลเอกประวิตรอย่างไร คำตอบจากสาธารณชนก็คือ เพราะ บิ๊กโจ๊กเป็นคนสนิทของบิ๊กป้อม ซึ่งไม่ใช่สนิทสนมธรรมดา แต่ทว่าสนิทสนม “มาก มาก มาก และมาก” เสียจนหลายต่อหลายฝ่ายรับรู้ได้
ถ้าเช่นนั้นถามต่อว่า แล้วจะให้ บิ๊กป้อมรับผิดชอบการโยกย้ายบิ๊กโจ๊กอย่างไร คำตอบก็คือ อย่าลืมว่าบิ๊กป้อมคือรองนายกรัฐมนตรีผู้ดูกิจการ หรือพูดง่ายๆ คือคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่เมื่อคนในสังคมตั้งคำถามว่า ทำไมต้องโยกย้ายบิ๊กโจ๊กโดยกะทันหัน เป็นเพราะบิ๊กโจ๊กมีความผิดสถานใดหรือ แต่ทว่าสาธารณชนกลับได้รับคำตอบจากบิ๊กป้อมว่า ไม่ต้องสอบสวนบิ๊กโจ๊กย้อนหลัง เมื่อมีคำตอบจากผู้ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติเช่นนี้ จึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ทำไมไม่สอบสวนความผิดของบิ๊กโจ๊ก หากบิ๊กโจ๊กไม่ผิด เหตุใดต้องโยกย้ายด่วน และเหตุใดต้องพ้นจากความเป็นตำรวจโดยทันที
เหล่านี้คือสิ่งที่สาธารณชนตั้งข้อสงสัยใหญ่หลวงต่อบิ๊กป้อม แล้วก็ตั้งข้อสงสัยเลยไปถึง“บิ๊กตู่”พลเอกประยุทธ์ ด้วยว่าเหตุใดจึงยอมให้บิ๊กป้อมอยู่ร่วมในคณะรัฐมนตรี แม้จะถูกสังคมมองว่ามีแผล มีตำหนิมากมายจนเกินจะบรรยาย
คอข่าวการเมืองไทยหลายคนตั้งสมมุติฐานว่า แม้บิ๊กตู่จะรู้อยู่เต็มอกว่าบิ๊กป้อมมีตำหนิมากมาย แต่ในยามที่จำเป็นต้องจับมือสู้คลื่นลมมรสุมการเมืองที่กำลังถาโถมอย่างหนักเพื่อรักษารัฐบาล คสช. ให้อยู่รอดปลอดภัย บิ๊กตู่จำเป็นต้องมองข้ามตำหนิบางอย่างของบิ๊กป้อมไป เพราะจะไม่เป็นเรื่องฉลาดเลย หากจะต้องเสียเพื่อนสนิทไป จนกลายเป็นศัตรูกันในยามที่กำลังเผชิญศึกภายนอก ดังนั้น การจับมือกันไว้แล้วมองข้ามปัญหาบางประการไปก่อน จึงน่าจะเป็นการเอาตัวรอดที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้
ขณะเดียวกัน มีผู้วิเคราะห์ว่า แม้บิ๊กตู่จะตัดบิ๊กป้อมออกไปแล้ว ก็หาได้ทำให้ศัตรูการเมืองของบิ๊กตู่ยุติการโจมตีเพื่อหวังโค้นล้มรัฐบาล คสช. แต่อย่างใดไม่ แต่จะยิ่งโจมตีหนักยิ่งขึ้นโดยขุดเอาเรื่องเน่าๆ ของบิ๊กป้อมมาใช้เป็นเครื่องมือโจมตีต่อไปโดยไม่หยุดไม่หย่อน
นักวิเคราะห์การเมืองไทยเชื่อตรงกันว่า บิ๊กตู่มีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การทำให้บ้านเมืองไทยบังเกิดความสงบสุข ไม่ต้องการเห็นประชาชนลงไปสู้รบ ฆ่าฟันกันบนท้องถนนอีกต่อไป ดังนั้นเมื่อมีภารกิจหลักเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องมองข้ามความผิดปกติบางประการของคนใกล้ชิดตัวเองที่ชื่อบิ๊กป้อม แล้วมุ่งหน้าสู่เป้าหมายให้ได้
แต่คอข่าวการเมืองอีกกลุ่มหนึ่งให้ความเห็นเสริมว่า บิ๊กตู่เป็นคนฉลาด เขาประเมินกำลังตัวเองตลอดเวลา และเขาก็คิดคำนวณแล้วว่าหากต้องทำงานการเมืองต่อไปโดยไม่มีบิ๊กป้อมอยู่เคียงข้าง เป้าหมายที่วางไว้อาจจะไม่มีวันบรรลุผล ดังนั้นเมื่อประเมินทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว จึงทำให้บิ๊กตู่ตัดสินใจเลือกที่จะต้องเก็บบิ๊กป้อมไว้กับตนเอง เพราะการฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคมมากเกินไป โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงภายใน จะทำให้เกิดความไขว้เขว และไม่สามารถเดินทางไปถึงจุดหมายได้
ดังนั้น ไม่ว่าสังคมจะประณาม ก่นด่า วิพากษ์วิจารณ์ ขุดคุ้ย พลเอกประวิตร มากมายสักเพียงใด เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่ พลเอกประยุทธ์ รู้ดี แต่สิ่งที่ พลเอก ประยุทธ์ รู้ดียิ่งกว่าคือ เมื่อได้ตั้งใจไว้แล้วว่าเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ไหน ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดล้มล้างความคิดของ พลเอก ประยุทธ์ ได้ เพราะเป้าหมายสูงสุดสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี