ดูสภาพการณ์การเมืองไทยเวลานี้ เดินไม่พ้นจาก “หล่ม” อยุติธรรม ซึ่งไม่นำไปสู่ทางออก
เราฝากบ้านเมืองไว้กับ คสช. 5 ปี เพื่อ “ปฏิรูป” บัดนี้คือ “ใบเสร็จของการปฏิรูป”
กางใบเสร็จดู เจออะไรบ้าง
1) รัฐธรรมนูญที่มี “ไข่” ห้อยโตงเตง ที่เรียกว่าบทเฉพาะกาล ซึ่งข้ามประเพณีปฏิบัติมาสู่การให้ สว. เลือกนายกรัฐมนตรีได้ถึง 5 ปี สส. มีอายุ 4 ปี สว. มีอายุ 5 ปี
ถ้าสภา สส. อยู่ได้ครบเทอม คือ 4 ปี เลือกตั้งอีกรอบ ได้ สส. มาใหม่ สว. ชุดนี้ก็ยังมีสิทธิเลือกหรือไม่เลือกนายกรัฐมนตรีได้เหมือนเดิม หากอยู่ไม่ครบเทอม เลือกตั้งสักกี่รอบภายใน 5 ปีนี้ สว. ก็มาโหวตเลือกนายกฯ อยู่ดี
2) มันคงไม่เป็นอะไรนัก หาก “ที่มา” ของ สว. มันมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นประชาธิปไตยเท่าเทียมกับ สส. แต่นี่ สว. ก็มาจากการเลือกของ คสช. ล้วนๆ แม้ทำทีแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ ให้สมัคร เลือกไขว้ระหว่างกลุ่ม กลุ่มนี้มีโควตา 50 คน แต่ท้ายที่สุดเป็น คสช. ที่มีสิทธิเลือก 50 คนสุดท้าย ส่วนอีก 194คน คสช. เลือกเองล้วนๆ อีก 6 คน มาจากตำแหน่งต่างๆ ในเหล่าทัพและฝ่ายความมั่นคง ทำไมคนเหล่านี้ถึงสิทธิร่วมกำหนดว่าใครควรจะได้เป็นนายกฯ รัฐมนตรี ใครไม่ควรได้เป็น ทั้งๆ ที่ในการหาเสียงเลือกตั้ง ทุกพรรคถูกกฎหมายกำหนดให้ส่งชื่อคนเป็นนายกฯ เพื่อประกาศให้ประชาชนรู้มาก่อน แต่สุดท้าย คนเหล่านั้นจะได้เป็นหรือไม่ได้เป็น ไม่ได้เกิดจากการกำหนดของ “ผู้แทนราษฎร” ด้วยกันอย่างเดียว แต่ต้องฝ่าด่าน สว. ของ คสช. ด้วย เท่ากับว่า สว. คือเครื่องมือ “ถ่ายโอนอำนาจ” ของ คสช. “ยึดอำนาจต่อ” อีกอย่างน้อย 5 ปี
3) สว. ซึ่งไม่ต้องเดินหาเสียง ไม่มีพันธะในการตอบสนอง-รับใช้ประชาชน มาเป็นใหญ่เหนือมติของประชาชนก็ได้ นี่คือ “การปฏิรูป” เพื่อนำไปสู่ความสงบ ปรองดอง ใช่ไหมครับ
4) พอส่องดูชื่อ สว. ที่ประกาศออกมาแล้ว นึกว่ากองทัพ “ยึดอำนาจต่อ” บวกกับนักการเมืองสอพลอจากแม่น้ำสายต่างๆ ของ คสช. ที่ใครต่อใครก็เดาไว้ ว่าต้องได้เป็น สว. แน่ เพราะเลียจนลิ้นแทบไม่เหลือปุ่มรับรสแล้ว
5) แต่เอาเถอะ รอดูการทำงานของเขาก่อน ไอ้ประเภทลาออกจากรัฐมนตรี จาก สนช. มาแล้วได้เป็น สว. ทันที รอบนี้จะทำงานได้ดีกว่าเดิมหรือไม่ ไม่ว่าจะนามสกุลวงษ์สุวรรณ จันทร์โอชา หรือเครืองาม ก็ลองให้โอกาสกันดู แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่สะท้อนว่าเป็น “การปฏิรูป” ที่บ้านเมืองต้องหมดเปลืองเวลาไปถึง 5 ปีเลย และที่สำคัญ มันสร้างบรรยากาศของการ “เผชิญหน้า” สร้าง “คู่ขัดแย้งใหม่” ไม่ได้นำไปสู่การยอมรับหรือปรองดอง มีแต่จ้องจะจับผิดกันหนักหน่วงกว่าเดิม
6) เอาแหละ มี สว. แล้ว แต่สภาจะเปิดได้ไหม ยังต้องรออีกหลายขั้นตอน เช่น มีคนไปร้องต่อศาลปกครองให้คุ้มครองชั่วคราว และวินิจฉัยการคำนวณ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ ของ กกต. ว่าถูกต้องตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. หรือไม่ โดยอย่าเอาเรื่องนี้ไปโยงกับการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นการวินิจฉัย “ตัวบท” ระหว่างมาตรา 91 ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่ กับมาตรา 128 ใน พ.ร.ป.ฯ ซึ่งเป็นกฎหมายลูก ว่าไม่ขัดหรือแย้งกันเท่านั้น ไม่ได้วินิจฉัยการปฏิบัติของ กกต. ว่าคำนวณได้ถูกต้องแล้ว นี่ก็อีกหนึ่งผลพวงของ “การปฏิรูป” ที่ทำให้บ้านเมืองชุลมุนและอึมครึมกันอยู่ตอนนี้
7) ทุกคนต้องลาออกจากตำแหน่งเป็นเวลาเท่านั้นเท่านี้ จึงจะมาเป็น สว. ให้ คสช. เลือกได้ ยกเว้นคณะรัฐมนตรี ออกวันนี้ อีกสองสามวันก็เป็น สว. ได้เลย
8) คุณคิดกันดูนะว่า คณะบุคคลจำนวนหนึ่งอยู่ในชุดพิจารณากติกา ว่า โอเค. ให้ คสช. เลือก สว. ทั้งหมดเลย และ สว. พวกนี้โหวตเลือกนายกฯ ด้วย แล้วคณะบุคคลนี้แหละ ก็ถูก คสช. เลือกมาเป็น สว. ตามกติกาที่ชงกันมา เพื่อในวันข้างหน้า คนเหล่านี้ที่เป็น สว. แล้ว มาโหวตเลือกนายกฯ ซึ่งก็ดันมีว่าที่นายกฯ คนหนึ่ง เป็นหัวหน้า คสช. ที่เลือก สว. พวกนี้มาซะด้วย “ปฏิรูป” ไหมล่ะ?
9) ในสภาพแบบนี้ การเมืองเล่นกันทีละก้าว ไม่คุยกันยาวๆ หรอก เช่น เริ่มต้นให้เปิดสภาได้ซะก่อน แล้วเลือกประธานสภาทั้ง 2 สภา สว. คงไม่มีปัญหา ปรองดองกันสุดๆ แต่ สส. คงแข่งกันน่าดู ว่าใครจะเป็นประธานสภา ขนาดในพรรคพลังประชารัฐเองยังแข่งกันเลย
10) เลือกประธานสภาไม่ยากหรอก แต่เลือกนายกฯยากหน่อย ตอนนี้พรรคชาติไทยพัฒนา ภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ ยังไม่ตัดสินใจ บ่ายนี้ประชาธิปัตย์ก็คงได้หัวหน้าพรรคคนใหม่แล้ว จากนั้นก็จะเลือกกรรมการบริหารพรรค แล้วกรรมการบริหารพรรคคงเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะร่วมกับฝ่ายไหนจัดตั้งรัฐบาล ภูมิใจไทยที่เคยประกาศไว้ว่า จะร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับใครก็ได้ ที่มีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่ง นั่นหมายความว่า ประชาธิปัตย์กับพรรคชาติไทยพัฒนาต้องตัดสินใจร่วมกับฝ่ายไหนเสียก่อน ภูมิใจไทยจึงจะรู้ได้ และหากชาติไทยพัฒนากับประชาธิปัตย์แยกไปอยู่คนละทาง ก็ไม่มีข้างไหนเกินครึ่ง ภูมิใจไทยก็เป็นอันว่าตัดสินใจไม่ได้ หมากกระดาน “ตั้งรัฐบาล-เลือกนายกฯ” จึงไม่ใช่ง่ายๆ
11) จากเดิมที่เคยนึกว่า พรรคพลังประชารัฐคงรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ไม่ยาก เพราะพรรคการเมืองเกือบทุกพรรค ไปทำสัญญากันไว้ในทำนองว่า ใครก็มีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคที่ชนะอันดับหนึ่ง ต่อมาคำสัญญานั้นก็ไร้ความหมาย เพราะพรรคเพื่อไทยเกิดเรียกร้องความชอบธรรม ว่าพวกเขาได้ สส.มากกว่า ก็ควรได้จัดตั้งรัฐบาล พลังประชารัฐก็เลยต้องเล่นเกม “ดูคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตสิโว้ย ใครเยอะกว่า”
12) กองเชียร์ พปชร. และติ่งลุงตู่ จิกหัวด่าประชาธิปัตย์ทุกวัน เหน็บแนม ขู่เข็ญสารพัดสารพัน ว่าถ้าไม่มาร่วมกับ พปชร. แปลว่าไม่เห็นแก่ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เลือกตั้งรอบหน้ามึงสูญพันธุ์แน่ ไม่เคยให้เกียรติ ไม่เคยเชิญชวนอย่างสร้างสรรค์ ในพรรคก็จับจองเก้าอี้ที่นั่งกันพัลวัน จนนึกไม่ออกว่าคนอื่นเขาจะมาร่วมด้วยเพื่อช่วยทำหน้าที่อะไร นอกจาก “ยกมือ”
13) ก็ไม่แปลกหรอก ในสถานการณ์ที่ช่วงชิงอำนาจกันโดยไม่เลือกวิธีแบบนี้ ฝ่ายพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ จะออกโรงมาเกี้ยวพาราสี ชวนพรรคภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ ไปช่วยกัน “ทวงคืนประชาธิปไตย” ไล่ทหารกลับกรมกอง ประลองฝีมือจัดตั้งรัฐบาลกับพวก “ตัวแทน” ที่กติกาชงมากันดูสักยก วางความขัดแย้ง สร้างอนาคตประเทศไทย “นอกกำมือทหาร” ร่วมกัน ถึงขั้นไม่มีเงื่อนไขจะเอาเก้าอี้ที่นั่งอะไรเลย ขอแค่ได้ปรับปรุงกติกาที่มันเกินเลย แป้ปัญหาปากท้องให้ประชาชนกัน ก็ต้องบอกว่าคำชวนนั้น “น่าสนใจ” มิใช่เล่น
14) พูดในฐานะประชาชน ที่อยู่นอกวงความขัดแย้ง ปัญหาทับถมหมักหมมในชีวิตเขาอยู่มากมาย พูดถึงท่าทีของภูมิใจไทยกับประชาธิปัตย์ ที่การหาเสียงเน้นขาย “นโยบาย” ถ้าสองพรรคนี้จะรับข้อเสนอไปพิจารณาผมว่าก็ไม่แปลกแล้ว ในยุคที่ “ใครทำอะไรก็ได้” ขอแค่เป็นผู้ชนะ และแก้ปัญหาให้ประชาชน
15) ถ้า คสช. และพลังประชารัฐ จะเรียกตัวเองว่าฝ่ายธรรมะ ก็ต้อง “ระมัดระวัง” การเดินเกมสักหน่อยก็ดีเริ่มจากเปิดใจว่า พรรคจะเอาปัญหาของประชาชนประเทศชาติเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอาอำนาจวาสนาที่ได้จากกติกาที่ทำ “ทางเตียน” เอาไว้ให้นั้น มาจัดสรรประโยชน์กันในหมู่ในมุ้งภายในพรรค หยามเหยียดเดียดฉันท์พรรคที่มาร่วมเป็น “ไก่รองบ่อน” ปล่อยพรรคเล็กพรรคน้อยที่วิธีคำนวณของ กกต. ที่ยังต้องถูกตีความ มาพูดจาขย่มพรรคขนาดกลางและขนาดใหญ่เช้าเย็น
16) ดูว่าแต่ละพรรคที่จะมาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ใครมี “มืออาชีพ” หรือ “ตัวจริง” ด้านไหน ก็ให้เขาได้ “ทำงาน”เลือกคนให้อธิบายต่อประชาชนได้ ว่าทำไมคนนี้ถึงต้องเป็นรัฐมนตรีเก้าอี้กระทรวงนี้ และทิศทางเศรษฐกิจจะไปอย่างไร
17) ผมคิดว่า ประชาธิปัตย์นั้น ตะขิดตะขวงใจเรื่องเศรษฐกิจเป็นที่สุด เพราะไปกันคนละแนว ตั้งแต่ยังจะยึดจีดีพีเป็นตัวชี้วัด ทั้งๆ ที่ก็เห็นแล้วว่า เป็น “ปรอทวัดไข้” ที่ใช้ไม่ได้แล้ว วัดไข้ผิดก็จ่ายยาผิด แต่ชีวิตคนจ่ายยาผิด ก็แค่ย้ายจากรัฐมนตรีมาเป็น สว. ก็พอแล้ว งามไส้!!
18) ประชาธิปัตย์เน้นการประกันรายได้ ทั้งภาคการเกษตรและแรงงาน แต่พลังประชารัฐ โดยเฉพาะข้าว คือการทำวิธี “จำนำ” มันจะไปกันได้อย่างไร แถม “หวงก้าง” และมีลิ่วล้อ “กร่างๆ” มาสร้างความห่างเหินอีก ไม่รู้ว่ากี่เดือนจึงจะตั้งรัฐบาลได้
19) รัฐธรรมนูญก็ไม่ได้กำหนด ว่าต้องตั้งรัฐบาลภายในกี่วัน กี่เดือน กี่ปี นี่รัฐมนตรีก็ลาออกมาเป็น สว. กันเป็นทิวแถว แล้วรัฐบาลปัจจุบันจะบริหารกันอย่างไร รัฐมนตรีใหม่ก็ยังไม่ตั้ง
ทิ้งหมดทั้งมวลล้วนคาบเกี่ยวเหยียบยืนบนวิธีและกระบวนการที่ “ไม่งาม” ทำให้ “ความชอบธรรม” มีตำหนิ จนแทบจะบอกยากว่า “ดีกว่าอีกฝ่ายตรงไหน” พอพูดถึงประเด็นนี้ก็จะเกิดวาทกรรมว่า อีกฝ่ายไม่ “จงรักภักดี” โดยไม่พูดถึง “วิธี” ที่ใช้ชนะกันซึ่งควรจะต้องเป็นธรรมและเป็นที่ยุติ
รายชื่อ สว. จะเป็นตัวซ้ำเติมสถานการณ์ของฝ่าย “ลุงตู่” ไหนจะต้องรอความชัดเจนกว่า กกต. คำนวณ สส.บัญชีรายชื่อ ถูกต้องหรือไม่ เรื่องร้องเรียนการถือหุ้นสื่อ จะค้างคาไปนานเท่าใด การทุจริตการเลือกตั้งที่พัทลุงจะถูกเพิกเฉยไปเลยไหม และเรื่องที่ถูกติฉินนินทาอีกมากมาย ที่กำลังกัดกร่อนทำลายความสง่างามและความชอบธรรมของการตั้งรัฐบาล
สุดท้ายจะไปออกรูปไหน
ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย อนาคตใหม่ ภูมิใจไทย และอื่นๆ ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล วางความแตกต่างขัดแย้ง แล้วพาบ้านเมืองฝ่าทางตัน ด้วยการเอาธุระเรื่องแก้ปัญหาประชาชนขึ้นก่อน และตามด้วยแก้กติกาให้เป็นธรรม
หรือจะนำไปสู่รัฐบาลที่ต้องไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งจะเรียกว่ารัฐบาลแห่งชาติหรืออะไรก็ตาม
เพื่อลดความทับซ้อนและซับซ้อนของการใช้อำนาจ สู่รัฐบาลที่ผู้เกี่ยวข้องและผู้สนับสนุนจะ “ครั่นเนื้อครั่นตัว” น้อยลง!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี