อุดมการณ์นั้นเป็นหลักยึดเหนี่ยว ภายใต้อุดมการณ์เดียวกัน อาจบรรลุเป้าหมายได้หลายวิธี
“จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” เป็นเด็กดี เรียนดี ประพฤติดี อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์มานาน 33 ปี จึงได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค
เป็นหัวหน้าพรรคในยามที่พรรคเผชิญกับ “วิกฤติ”
ทั้ง “วิกฤติศรัทธา” จากคนนอกพรรค และวิกฤติ “ความเห็นต่าง” ภายในพรรค
แต่จุรินทร์ก็เลือกที่จะอยู่ในความ “สุขุม” ไม่แตกตื่น ไม่ลนลาน ไม่ลุกลี้ลุกลน
สงบนิ่ง ไม่ให้ความเห็นพร่ำเพรื่อ ไม่ตำหนิฝ่ายใด ไม่เรียกร้องความเห็นใจ เดินหน้าประสานเพื่อ “ร่วมรัฐบาล” เพื่อ “ทำงานให้เป็นที่ประจักษ์” ในขณะเดียวกันก็อาจถูกมองว่า “ลอยตัว” ไม่ชี้ชัด ไม่ฟันธง
ความคิดคน ปากคน เป็นสิ่งที่เต้นตามมากก็เหนื่อยเปล่า ไม่ฟังเสียเลยก็มืดบอด
ผมเชื่อว่าจุรินทร์รับฟัง แต่เลือกที่จะไม่เต้นตาม ไม่ว่าคำชม คำคาดหวัง หรือคำตัดรอน
“จำศีล” เตรียมทำงานงาน น่าจะเป็นคาถาของเขา และกลยุทธ์ของเขาในเวลานี้
บางเรื่องบางประเด็น โต้เถียงไปก็ยิ่งทำให้เรื่อง “ยืดเยื้อ” ไม่จบ และยิ่งผิดใจ
เหมือนจุรินทร์ไม่พร้อมที่จะ “ผิดใจ” กับใครให้มากไปกว่านี้
เขาเลือกทำงานเงียบๆ อยู่กับที่ พยุงไม่ให้พรรคทรุดไปกว่าเดิม และพยายามจะทำให้ดีกว่าเดิม ท่ามกลาง “แรงกระทบ-ปะทะ” ที่มากมายมหาศาล เช่น
1) การประกาศลาออกจากการเป็น สส. ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้รับเสียงชื่นชม นับถือ ย่อมมีแรงกระทบมายังพรรคประชาธิปัตย์ไม่มากก็น้อย ในทำนองว่า ไม่รักษาอุดมการณ์ ไม่มีจุดยืน ไม่มีสัจจะ เสียแล้ว จุรินทร์ได้แต่นิ่งเฉย ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย เงียบสนิท คงชั่งน้ำหนักแล้วว่า พูดอะไรก็รังแต่จะเข้าเนื้อ เพราะชั่วโมงนี้ กระแสความรู้สึกของคนกำลังเชี่ยวกราก เอาเรือเข้าไปขวาง รังแต่จะล่มเสียเปล่าๆ สู้ปล่อยให้เขาพูดกันไป และเราเงียบฟังเสียดีกว่า
2) การลาออกของนายกษิต ภิรมย์ ก็ตอกย้ำอีกว่า ประชาธิปัตย์เลือกจุดยืนที่ถูกแล้วหรือไม่ ในการเข้าร่วมรัฐบาล สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ
3) จำได้ดีว่า ในวันแถลงมติร่วมรัฐบาลนั้น สมจิตต์ นวเครือสุนทร นักข่าวสาว ผู้อยู่กับสถานการณ์การเมืองร้อนๆ มาหลายยุคหลายสมัย ยิงคำถามตรงไปที่หัวใจของจุรินทร์ว่า “ท่านจะอธิบายยังไง ในเมื่อตอนที่ท่านปราศรัยหาเสียง ท่านได้พูดถึง “ประชาธิปไตยสุจริต” กับ “ประชาธิปไตยวิปริต” ซึ่งการเอา สว.250 คน มารอเลือกนายกฯ โดยว่าที่นายกฯ เป็นคนตั้ง สว.เหล่านั้น คือ ประชาธิปไตยวิปริต”
จุรินทร์ตอบอย่างสุขุมว่า “เราจึงพยายามจะทำให้มันสุจริตยิ่งขึ้น ด้วยการยื่นข้อเสนอเรื่องแก้รัฐธรรมนูญไว้ในเงื่อนไขของการเข้าร่วมรัฐบาล และเราพร้อมที่จะออกจากการร่วมรัฐบาลทุกเมื่อ หากเราพบว่า การดำเนินนโยบายมีการทุจริตเกิดขึ้น”
ไม่ตรงคำถามนัก แต่ก็ได้คำตอบบางประการ
มันเป็นเรื่องพูดยาก สำหรับสถานการณ์ของประชาธิปัตย์ ไปทางโน้นก็ถูกว่า ไปทางนี้ก็ถูกด่า ไม่ไปทางไหนเลยก็ถูกกระหน่ำด่า จึงเลือกทางเสี่ยง เข้าร่วมรัฐบาล ที่อย่างน้อยๆ ก็มีหลักประกันว่า “จะได้ทำงาน” และการยืนหยัดต่อรอง จนได้เก้าอี้กระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มานั้น สะท้อนเจตนาที่แน่วแน่ว่าอยากผลักดันนโยบาย เพื่อการทำงานให้ปรากฏผลเป็นรูปธรรม จึงต้องยึดเอา 2 กระทรวงนี้ ที่เห็นผลงานได้เร็วที่สุด ท่ามกลางความไม่แน่นอนว่า รัฐบาลลูกผสมเกือบ 20 พรรคนี้ จะอายุยืนยาวแค่ไหน
4) การประกาศชื่อกรรมการบริหารพรรค การประกาศชื่อ 7 รัฐมนตรี โดยไม่มี “กรณ์ จาติกวณิช” อดีตขุนคลังที่สร้างผลงาน สร้างชื่อ และเป็นประธานกรรมการนโยบาย ก็เกิดคำถามอีก และถูกมองในแง่ว่า “เอาพวกตัวเอง ไม่เอาคนอื่น” แม้คนอื่นที่ว่านั้น เป็นความเชื่อมั่นเชื่อใจของประชาชนทั่วไป ยิ่งกรณ์โพสต์เฟซบุ๊คว่า “อยู่ตรงไหนก็ทำงานได้” ซึ่งคงมิได้มีเจตนาที่จะกระทบกระเทียบมายังใครเลยก็เถอะ แต่แรงกระทบมันก็มีแน่ คือ เห็นใจคุณกรณ์ และไม่เข้าใจพรรค ว่าทิ้งคนแบบนี้ไปจากโอกาสที่จะทำงานเพื่อพิสูจน์ผลงานได้อย่างไร
5) ตามมาด้วย “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ประกาศ ร่างกฎหมายเกี่ยวกับความเป็นธรรมในการเก็บดอกเบี้ยบัตรเครดิต และเตรียมจะยื่นเมื่อสภาเปิด ซึ่งเป็นการประกาศการทำงาน แม้ไม่มีตำแหน่งอะไรแรงกระทบก็กระเทือนมาถึงจุรินทร์และพรรคอีก เพราะยุคนี้สมัยนี้ คนชอบบรรยากาศการเชียร์มวย คุณพีระพันธุ์คงแค่อยากให้ข้อมูลว่าตัวเองจะทำอะไรต่อในฐานะ สส. ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ไม่อาจระงับการตีความไปในทำนองว่า เห็นไหม ขนาดไม่มีตำแหน่งอะไรให้เขา เขายังทำงานเลย จะคอยดู ไอ้พวกที่มีตำแหน่ง ดูสิ จะทำงานได้ขนาดไหน นี่....ความไม่ง่ายของนายจุรินทร์และพรรคในยามนี้
6) ทันใดนั้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ก็เปิดตัวทีมอเวนเจอร์สเศรษฐกิจหรือทีมเศรษฐกิจทันสมัยของพรรคโดยมี นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคเป็นประธานคณะทำงาน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ประเทศทันสมัยทางเศรษฐกิจในอนาคต โดยในทีมอเวนเจอร์สเศรษฐกิจทันสมัย ประกอบด้วย นายอรรถ เหมวิจิตรพันธ์ (รองประธาน Shell International กูรูด้านพลังงาน/ Green economy)เป็นเบอร์ 1 ของคนไทยในบริษัทเชลล์ เชี่ยวชาญด้านพลังงานสีเขียว ซึ่งนายอรรถได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคด้วย
นอกจากนี้ยังมี รศ.อักษรศรี พานิชสาส์น เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน นางฮอลลี่ อัมระนันทน์ นักรณรงค์การป้องกันรักษาโรคมะเร็งเต้านมและสิทธิสตรี นายสุริยะพงศ์ ทับทิมแท้ เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจแบ่งปัน Sharing Economy นายนาวี นาควัชระ ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรอินทรี นวัตกรรมชาวบ้าน นายสัญชัย ปอปลี ผู้เชี่ยวชาญด้าน Blockchain ซึ่งตนฝากให้ช่วยคิดระบบการบริหารจัดการพรรคบางเรื่องโดยใช้บล็อกเชน นางสาวปิยะดา ปุณณกิติเกษม ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การตลาด และโซเชียลมีเดีย นายปรมินทร์ อินโสม เป็นนักเขียนโค้ดบล็อกเชน และ นายสมศักดิ์ บุญคำ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิสาหกิจเพื่อสังคม ท่องเที่ยวชุมชน เป็นสตาร์ทอัพด้านการท่องเที่ยว ทั้งนี้ตนมั่นใจว่าภายใต้ความเสียสละของทุกคนจะทำให้ทีมเศรษฐกิจทันสมัยเดินสู่ความก้าวหน้าได้
ด้านนายปริญญ์ ในฐานะหัวหน้าทีมอเวนเจอร์สเศรษฐกิจทันสมัยของพรรค กล่าวว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะลงพื้นที่แก้ปัญหาปากท้องประชาชน สร้างแรงงานฝีมือยุคใหม่ให้ทันสมัย ผ่านเครือข่ายความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยจะดึงทีมอี-คอมเมิร์ซมาเป็นโค้ชให้ชาวไร่ ชาวสวนสร้างตาลาดใหม่ดึงราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้น และเติมเต็มในส่วนอื่นๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชาวบ้าน สังคมดีไม่มีขายถ้าอยากได้ต้องช่วยกันสร้างจึงต้องขอบคุณทุกคนที่มาช่วยกันสร้างเศรษฐกิจทันสมัยกับพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นคลังสมองให้กับพรรคประชาธิปัตย์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
นายปริญญ์กล่าวด้วยว่า คณะทำงานชุดนี้จะมีบทบาทในการเสนอไอเดียระดมมันสมองคิดนโยบายที่เหมาะสม ตั้งเป้า 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 12 เดือน เช่นในระยะสั้น มีกฎหมายใดที่ไม่เป็นธรรม ทีมทำงานจะเข้าไปช่วยดู เช่น เว็บไซต์อะโคด้า หรือ บุ๊กกิ้ง ที่ใช้ทรัพยากรในประเทศไทย มีกำไรมหาศาล แต่ไม่ต้องเสียภาษี ทั้งนี้การทำงานของคณะทำงานชุดนี้จะขับเคลื่อนในส่วนของพรรคไม่เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายให้รัฐมนตรีของพรรคไปดำเนินการ
โอ...ออกมาดูดี หลากหลาย และทันสมัยเชียว แต่ก็ยังเกิดคำถามอีกว่า “อ้าว! แล้วคุณกรณ์ล่ะ”
555... ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี โชคดีว่าปริญญ์ มาให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมในทำนองว่า พวกเขาเป็นเสมือน “ถังความคิด” (Think Tank) ให้กับพรรค ร่วมไปกับสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย คณะทำงานด้านนโยบาย และกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านอื่นๆ ที่ท้ายที่สุดจะต้องบูรณาการกัน
ดูกันดีๆ จะเห็นเลยว่า จุรินทร์กำลังทำงานใหญ่ คือ “ระดมสมอง” จากทุกทิศทาง สู่การได้ “แผน” และนำไปสู่ “การลงมือทำ” อย่างฉับไว นี่คือจุรินทร์ที่จะต้องมี “ยุทธศาสตร์การสื่อสารของพรรค” เข้ามาช่วยทำความเข้าใจ ให้เห็นว่าหัวหน้าพรรคที่ดู “ไม่หวือหวา” คนนี้ ความคิดและการจัดการ “หวือหวาเพียงไร”
เสียดายที่กระบวนการสื่อสารของพรรคยังเป็นปัญหา ยังไม่อาจทำให้คนเข้าใจว่า คุณกรณ์และ สส.คนอื่นๆ ทำงานร่วมกันในสภา ใช้กลไกสภาผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาของประชาชน คุณกรณ์อาจจะอยู่ในทีมนโยบายเหมือนเดิม คุณกรณ์อาจจะเป็นที่ปรึกษาใหญ่ด้านเศรษฐกิจของพรรรคหรือของหัวหน้าด้วยก็ได้ หรือแม้คุณกรณ์ไม่เป็นอะไรเลย คุณกรณ์ก็ยังเป็น “ต้นทุน” ที่สำคัญมากของพรรคประชาธิปัตย์ ที่วันข้างหน้าพรรคนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกมากมาย
แต่ที่สำคัญ คือ พรรคกำลังจัดทัพ วางระบบ แล้วค่อยแจกคนที่เหมาะสมเข้าไปในตัวระบบนั้น เวลานี้อาจยังไม่ลงตัว อาจยังไม่ชัดเจน อาจยังไม่พอใจ แต่ขอให้เชื่อว่า ในท้ายที่สุด ท่ามกลางวิกฤตินี้ ประชาธิปัตย์จับมือกันเดินไป เพื่อรับมือกับสิ่งที่ท้าทายกว่าคือ ศรัทธาของประชาชน ไม่มีการคิดเล็กคิดน้อย โดยเฉพะในตัวท่านหัวหน้า
ไม่มีการสื่อสารให้เห็นว่า “คนเก่า” และ “คนใหม่” ที่เพิ่มเติมเข้ามานั้น จะ “ทำงานร่วมกัน” มิใช่มา “ทดแทนกัน”
และยังไม่มีการนำคนเหล่านั้น ไป “นำเสนอ” ในสื่อใดๆ แม้กระทั่งในเพจของพรรคเอง ว่าใครเป็นใคร เป็นต้นทุนที่จะนำมาทำอะไรเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
จุรินทร์วางทุกยุทธศาสตร์ในพรรคแล้ว มีกรรมการยุทธศาสตร์แล้ว ยุทธศาสตร์ซึ่งแสนสำคัญและยังไม่ได้วาง คือ ยุทธศาสตร์การสื่อสารองค์กรและบุคลากร
เมื่อมีสิ่งนี้ จะลดแรงปะทะจากเรื่องต่างๆ และเปิดเกมรุกในพื้นที่สื่อได้มากยิ่งขึ้น!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี