กรณีส่งฟ้อง “แรมโบ้อีสาน” นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตแกนนำร่วม นปช. ไม่ทันอายุความ ในคดีล้มการประชุมอาเซียน 2552 ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? ใครดึงเรื่อง? ใครต้องรับผิดชอบ?

1. เหตุการณ์ นปช.บุกล้มการประชุมสุดยอดอาเซียน และประเทศคู่เจรจา เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 นั้น เป็นกรณีร้ายแรง สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติรุนแรง กว่าจะฟื้นคืนความเชื่อมั่น (ซึ่งล่าสุด ประเทศไทยเพิ่งจะได้รับโอกาสเป็นเจ้าภาพอีกครั้งหนึ่ง และจัดได้อย่างเรียบร้อย เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้เอง)

การบุกล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา เมื่อปี 2552 นั้น เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง ผ่านการจัดตั้ง-จัดการ โดยกลุ่มการเมืองที่สูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัวไปหลังการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล จากฝ่ายระบอบทักษิณ มาเป็นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

ในปี 2552 กลุ่ม นปช.ได้ประกาศไล่อำมาตย์ โจมตีพลเอกเปรม ไล่ล่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์

มีการตั้งเวทีชุมนุมอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล ระดมคนจากต่างจังหวัดมาชุมนุมใหญ่ต่อเนื่อง

จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ก่อนวันบุกล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา และวันที่เกิดเหตุ นายทักษิณ ชินวัตร ได้โฟนอินผ่านเวทีคนเสื้อแดงทุกวันในช่วงนั้น ยุยงส่งเสริม กระตุ้น เร่งเร้า และขอขอบคุณพี่น้องกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ไปช่วยกันที่พัทยา

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.คนสำคัญ ปราศรัยบนเวทีเสื้อแดงหน้าทำเนียบฯ “คนเสื้อแดงจะได้รับชัยชนะที่พัทยาแล้ว แต่การต่อสู้ยังไม่จบ จนกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จะลาออก”

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ปราศรัย “พี่น้องเราบางคนซึ่งสับสนกับสถานการณ์พยายามโทรมาถามผมว่ามีการบุกเข้าไปในโรงแรม ไม่ใช่นโยบายของเราไม่ใช่หรือ มีการบุกเข้าไปในโรงแรมแสดงว่าคนเสื้อแดงบางส่วนมีการกระทำนอกเหนือจากแนวทางของเวทีใหญ่ใช่หรือไม่ผมตอบว่าไม่ใช่ เราบอกว่าต้องบุกเข้าไปในโรงแรม และขณะนี้เราได้ถอนกำลังออกจากโรงแรมรอยัลคลิฟ พัทยา เรียบร้อยแล้วพี่น้อง และจะกลับกรุงเทพฯมาพบพี่น้อง”

และ “การรบที่พัทยาได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เพราะรัฐบาลประกาศยกเลิกการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและประเทศคู่เจรจา เมื่อนายอภิสิทธิ์ไม่สามารถเข้าทำเนียบรัฐบาลได้ ไม่สามารถจัดการประชุม แล้วจะอยู่ในตำแหน่งทำไม ได้บอกให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่พัทยาถอนกำลังออกจากโรงแรมมายังทำเนียบฯซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญแล้ว และเมื่อมาถึงก็ขอให้ทุกคนร่วมกันฉลองให้กับนักรบของเราในคืนนี้”

นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ผู้นำการบุกไปที่พัทยาด้วยตัวเอง เดินทางกลับมาขึ้นเวทีปราศรัยหน้าทำเนียบในคืนนั้น ประกาศชัยชนะบนเวทีเสื้อแดงหน้าทำเนียบรัฐบาลว่า “ณัฐวุฒิโทรไปบอกว่าพี่กี้ร์ไม่ต้องรอแล้ว ไม่ต้องรอ บุกได้ทันทีสิบโทสั่งแม่ทัพได้ ในขณะที่พี่ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ กำลังปลุกใจพี่น้อง ผมอยู่ข้างล่างก็บอกพี่ไวพจน์สั่งคนเสื้อแดงเดินทางเข้าห้องประชุมเข้าไปในโรงแรมทันที เพราะว่าวันนี้ ณัฐวุฒิให้ตังค์มาแล้วแสนแปด โอ้โห้สบาย บอกพี่กี้ร์พอหรือเปล่าแสนแปด ผมบอกว่าโอเคไม่เป็นไรหรอก ผมจะใช้แสนแปดให้คุ้มค่าที่สุดกับการไล่ล่าอภิสิทธิ์ในครั้งนี้ให้สำเร็จ” ฯลฯ

2. หลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 ตำรวจได้มีการดำเนินคดีนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำ นปช.กับพวก 18 คน ตกเป็นจำเลยในความผิดฐาน 
ร่วมกันกระทำการใดๆ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน / มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และความผิดอื่นรวม 4 ข้อหา

โดยไม่มีการดำเนินคดีกับแกนนำ นปช. ที่กำกับการเคลื่อนไหวอยู่กรุงเทพฯ ที่เวทีหน้าทำเนียบ

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2558 จำคุกจำเลย 13 คน ประกอบด้วย นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง / นายนิสิต สินธุไพร / นายพายัพ ปั้นเกตุ / นายวรชัย เหมะ / นายวันชนะ เกิดดี / นายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง / นายศักดา นพสิทธิ์ / พันตำรวจโทไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ (ปัจจุบันย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ) / นายนพพร นามเชียงใต้ / นายสำเริง ประจำเรือ / นายสมยศ พรหมมา / นายแพทย์วัลลภ ยังตรง และนายสิงห์ทอง บัวชุม คนละ 4 ปี

ยกฟ้อง นายธงชัย ศักดิ์มังกร และ พันตำรวจเอกสมพล รัฐบาล และสั่งพักคดีในส่วนของจำเลยที่หลบหนี 3 คน คือ พันตำรวจโทเสงี่ยม สำราญรัตน์ / นายสุรชัย 
แซ่ด่าน และนางสาว อรวรรณ (ไม่ทราบนามสกุล)

ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก 4 ปี

ขณะนี้ รอคำพิพากษาศาลฎีกา

3. ในระหว่างที่คดีอยู่ในชั้นศาล มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลเมื่อปี 2554 ฝ่ายระบอบทักษิณ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้พยายามผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ลักหลับตอนตีสาม ซึ่งเหมาเข่ง นิรโทษกรรมคดีฆ่า โกง เผา รวมไปกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งหลายด้วย

ซึ่งหมายรวมถึงกรณีบุกล้มการประชุมอาเซียนทั้งหมดนี้ ก็จะรอดไปด้วย

แต่มวลมหาประชาชนออกต่อต้าน จนนิรโทษกรรมไม่สำเร็จ

4. ต่อมา หลังรัฐบาลพรรคเพื่อไทยพ้นจากอำนาจไปแล้ว

กปปส.พัทยา ได้ไปแจ้งความตำรวจ ให้สอบสวนเอาผิดแกนนำ นปช.ส่วนกลาง โดยมีหลักฐานวีดีโอคลิป ว่ามีส่วนร่วมในการล้มการประชุมอาเซียนเมื่อปี 2552 ตำรวจค่อยมาสอบสวนทำสำนวนดำเนินคดีเอากับนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นพ.เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายอดิศร เพียงเกษ นายจักรภพ เพ็ญแข และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน

ก่อนจะส่งสำนวนฟ้องบุคคลทั้งหมดไปให้อัยการเมื่อวันที่ 1 ส.ค.2560

8 ปี หลังเกิดเหตุการณ์บุกล้มประชุมอาเซียนที่พัทยา

5. นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ชี้แจงว่า

คดีเกิดเหตุเมื่อวันที่ 11 เม.ย.2552 ข้อหาที่ถูกดำเนินคดีนั้นมีอายุความ 10 ปี จะหมดอายุความในวันที่ 11 เม.ย.2562

พนักงานสอบสวน ได้รวบรวมสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง มาส่งอัยการ เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2560

หลังจากที่อัยการพัทยารับสำนวนมา ก็สั่งสอบสวนเพิ่มเติมตามรูปคดี กลุ่มผู้ต้องหาก็ยื่นร้องขอความเป็นธรรม เข้ามาด้วย จนเมื่อวันที่ 8 ก.พ.2562 พนักงานอัยการสำนักงานจังหวัดพัทยามีคำสั่งให้ฟ้องผู้ต้องหาทุกคน

ฟ้องทุกคน รวมแรมโบ้อีสานด้วย (ปัจจุบัน ย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ)

นัดผู้ต้องหาให้มาพบในวันที่ 25 ก.พ. เพื่อนำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทยา ปรากฏว่าผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ขอเลื่อนการส่งตัวฟ้อง อัยการก็อนุญาตให้เลื่อนเป็นวันที่ 19 มี.ค.2562

โดยก่อนถึงวันนัด เมื่อวันที่ 15 มี.ค.นายสุภรณ์ขอเลื่อนนัดฟังคำสั่ง อ้างเหตุติดปราศรัยเลือกตั้ง เช่นเดียวกับนายอดิศร เพียงเกษ อัยการจึงมีคำสั่งให้ “นายอดิศร” และ “นายสุภรณ์” มาพบในวันที่ 2 เม.ย.

ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือ ได้แก่ นายวีระกานต์, นายณัฐวุฒิ, นายจตุพร,นพ.เหวง ได้เดินทางมาพบอัยการจังหวัดพัทยาตามนัดวันที่ 19 มี.ค. อัยการจึงยื่นฟ้องแกนนำ นปช. ทั้ง 4 คน เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพัทยาในวันดังกล่าว

ถึงวันที่ 2 เม.ย. “นายอดิศร” เดินมาตามนัด อัยการจังหวัดพัทยาจึงนำตัวฟ้องศาล

ส่วน “นายสุภรณ์” ให้ทนายความมายื่นคำร้องขอเลื่อนนัดฟังคำสั่ง ก่อนวันนัด อ้างนายสุภรณ์มีอาการหายใจไม่ออก นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่อัยการไม่อนุญาตให้เลื่อนนัด และเมื่อถึงเวลานัดแล้วผู้ต้องหาไม่มา อัยการได้มีหนังสือด่วนที่สุดถึง ผกก.สภ.เมืองพัทยา และ ผบช.ภ.2 ให้ดำเนินการจับกุมตัว “นายสุภรณ์” มาส่งอัยการฟ้องต่อศาลให้ได้ภายในวันที่ 5 เม.ย.2562

วันที่ 4 เมษายน ดำเนินการขอศาลจังหวัดพัทยาออกหมายจับ “นายสุภรณ์”

แต่จนถึงวันคดีหมดอายุความ 11 เม.ย.2562 ตำรวจก็ไม่สามารถจับตัวนายสุภรณ์มาส่งอัยการฟ้องศาลได้

6. คำถาม คือ ใครจะต้องรับผิดชอบ ต่อการที่นายสุภรณ์ ผู้ต้องหาคดีร้ายแรง รอดตัว ไม่ต้องถูกส่งฟ้องศาลภายในอายุความดังกล่าว?

แม้นักการเมืองที่ย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ จะไม่ได้รอดพ้นคดีเสมอไป อาทิ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ นายพุทธพงษ์ ปุณณกันต์ พันตำรวจโทไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ หรือแม้แต่นายสุภรณ์เอง ก็มีคดีอื่นติดตัวอยู่ด้วยก็ตาม

แต่กรณีลักษณะนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดกับคนดัง เช่น ลูกกระทิงแดง, นายเอกยุทธ ฯลฯ

นักการเมืองอย่างนายเสนาะ เทียนทอง ก็เคยลอยตัวจากคดีธรณีสงฆ์อัลไพน์ เพราะทางการไม่ได้เอาตัวไปฟ้องศาลในอายุความมาแล้ว

ใครต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้?

สารส้ม