สังคมใด หรือประเทศหนึ่งใด ที่ประสงค์จะเป็นประชาธิปไตยกันอย่างจริงจัง ก็ต้องมุ่งไปสู่การมีฝ่ายพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งแบบแข่งขันกันเข้ามาทำการบริหารประเทศ มีการแบ่งแยกและคานดุลอำนาจ ตรวจสอบซึ่งกันและกัน และประชาชนพลเมืองมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งให้มากที่สุด ไม่ว่าในเรื่องวิธีการบริหารราชการ การจัดทำนโยบาย แผน และมาตรการ เพื่อพัฒนาบ้านเมืองและการใช้งบประมาณจากภาษีราษฎร เพื่อความผาสุกของผู้คนและความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
บรรดาข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร และพนักงานรัฐต่างๆ ที่รับเงินเดือนประจำจากเงินภาษีราษฎร ก็มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายและตามนโยบายของรัฐบาลพลเรือนนั้นๆ ฉะนั้น ตามเจตนารมณ์ของประชาธิปไตยแล้ว ข้าราชการประจำทั้งหลายไม่สามารถมีตำแหน่งและบทบาททางการเมืองได้
แต่อย่างไรก็ดี สังคมไทยตลอดประวัติศาสตร์ร่วมสมัยมาเป็นเวลา 86-87 ปี ก็ยังประสบกับการเข้ามามีบทบาททางการเมืองของฝ่ายทหาร ฉะนั้น ประเทศไทยจึงยังไม่เคยไปถึงจุดหมายของการเป็นสังคมประชาธิปไตยเต็มใบ เป็นแค่แบบกึ่งๆ (quasi) มาโดยตลอด แม้ว่าจะมีรัฐบาลพลเรือนขึ้นมาบริหารประเทศกันอยู่บ้าง แต่ไม่ว่ารัฐบาลยุคไหนๆ ก็ต้องเกรงอกเกรงใจ ฝ่ายกองทัพเสมอ ส่งผลให้ ฝ่ายทหารบวกตำรวจ มีสถานะเป็นเสมือนรัฐซ้อนรัฐ
การที่ทหารเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองนั้นมีหลายปัจจัย โดยหลักๆ นั่นคือ การเรียนการสอนในโรงเรียนเตรียมทหาร ไปจนถึงโรงเรียนเหล่าทัพ รวมทั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สามพราน ที่มุ่งเน้นเรื่องการเป็นผู้นำ ซึ่งมักถูกตีความ หรือขยายความไปถึงการเป็นผู้นำประเทศทางการเมือง โดยสถาบันดังกล่าวไม่เคยอบรมให้
1.ทหารต้องเคารพกฎหมายรัฐธรรมนูญ และฉีกทิ้งไม่ได้
2.ทหารต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
3.ทหารต้องรับคำสั่งจากฝ่ายรัฐบาลพลเรือน
4.ทหารจะต้องทำหน้าที่ปกป้องดินแดน และรักษาความมั่นคงจากภยันตรายจากภายนอก เป็นต้น
5. เมื่อบ้านเมืองมีปัญหาวิกฤติ ฝ่ายทหารทำการยึดอำนาจมิได้ เพราะมิใช่หน้าที่ อีกทั้งฝ่ายทหารมีผู้บังคับบัญชาคือ นายกรัฐมนตรี แต่ในขณะเดียวกัน ฝ่ายทหารก็ขึ้นอยู่กับจอมทัพ องค์พระมหากษัตริย์ ฉะนั้น ฝ่ายทหารจะทำการหนึ่งใดแบบ “ข้ามหน้าข้ามตา” ใดๆ ก็มิได้ แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายทหารนั้นสามารถแสดงความคิดเห็นและจุดยืนได้
ทั้งนี้ในอีกแง่หนึ่ง ฝ่ายทหารส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จะมีก็เพียงฝ่ายทหารบางคนบางกลุ่มเท่านั้น ที่มีความทะเยอทะยานทางการเมือง และกลุ่มนี้มักจะดิ้นรนจนเติบโตในฝ่ายกุมกำลัง สามารถใช้อำนาจสั่งการทหารลำดับชั้นต่ำกว่าในการปฏิบัติการได้
ซึ่งทางฝ่ายการทหาร ก็ไม่ได้มีการฝึกสอนอบรมบ่มเพาะว่า การสั่งการที่ผิดนั้น จะรับนำไปปฏิบัติมิได้ โดยเฉพาะการสั่งการให้ยึดอำนาจรัฐ นั้นเป็นความผิด เพราะละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผู้ใดจะไปทำการตามคำสั่งที่ผิดไม่ได้โดยเด็ดขาด และผู้ออกคำสั่งก็ปลดโทษตนเองมิได้ คดีความไม่ขาดอายุ
แต่อย่างไรก็ตาม มักมีปัจจัยหนึ่ง ก็คือการรบเร้าจากฝ่ายประชาชนส่วนหนึ่ง และฝ่ายกระบวนการทางการเมือง หรือแม้กระทั่งจากฝ่ายพรรคการเมืองกลุ่มหนึ่งก็คือ การขอร้องให้กองทัพออกมาช่วยจัดการบ้านเมือง ตั้งแต่
1.ขอให้กองทัพออกมาร่วมแสดงจุดยืนข้างประชาชน
2.ขอให้เข้ามายึดอำนาจชั่วคราว เพื่อโค่นล้มรัฐบาลสามานย์
3.ขอให้เข้ามาอยู่ในเวทีการเมืองแบบถาวรเสียเลย
ที่เป็นเช่นนี้ ก็ประชาชนพลเมืองส่วนหนึ่งไม่ได้คำนึงถึงความเป็นประชาธิปไตยเต็มใบอีกต่อไป หากต้องการเห็นเสถียรภาพของบ้านเมืองเป็นหลัก และไม่ไว้ใจรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งอีกต่อไป จึงไม่ต้องการให้ฝ่ายการเมืองเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว จึงสนับสนุนให้ฝ่ายทหารมาคัดทานฝ่ายการเมือง
ก็เลยกลายเป็นช่องทางให้กองทัพตบเท้าเข้าสู่เวทีการเมืองไทย และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายทหาร มักจะกระโดดเข้าสู่เวทีการเมือง ก็เพราะคิดว่าฝ่ายตนเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ ซึ่งก็ไม่ได้คำนึงเรื่องความเป็นประชาธิปไตยเช่นกัน คิดว่าเอาแค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน เพื่อจะได้ประคับประคองประเทศกันไปได้ ข้อคิดคือ ต้องเลิกพึ่งพาฝ่ายทหาร และพึ่งพาตนเองคือ สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตัวประชาชนเอง
ถ้ามองย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ก็จะเห็นว่า กองทัพไทยได้ห่างหายไปจากวงการเมืองไทยนานพอสมควร จนประมาณ 15 ปีที่แล้ว ฝ่ายทหารจึงได้หวนคืนสู่เวทีการเมืองอีกครั้ง โดยสาเหตุหลักก็คือ พฤติกรรมของรัฐบาลทักษิณ และวิธีการบริหารราชการที่เรียกว่า ระบอบทักษิณทุนนิยมสามานย์ ที่เริ่มแรก ตัวคุณทักษิณเองก็มีปัญหาเรื่องการแจกแจงทรัพย์สิน จนเป็นคดีความโดยก็มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมให้พ้นผิดอย่างฉิวเฉียด ภายใต้วาทกรรม บกพร่องโดยสุจริต และเมื่อบริหารงานรัฐบาลก็บริหารด้วยหลักอำนาจนิยม ไม่สนใจหลักกฎหมาย หรือหลักประชาธิปไตยอื่นๆ จนเกิดโกลาหลในสภาและบนท้องถนนขับไล่วุ่นวาย กลายเป็นโอกาสให้ฝ่ายกองทัพตบเท้าสู่เวทีการเมืองอีก โดยหลังจากนั้นก็สลับบทบาทไปมา กับการที่ประเทศไทยมีรัฐบาลหุ่นเชิดของคุณทักษิณถึง 3 ชุด
ในที่สุดก็นำไปสู่การร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตยแบบกึ่งหนึ่ง หรือเสมือนเป็นประชาธิปไตย (Quasi - Democracy) ที่เอื้อให้ฝ่ายกองทัพ และข้าราชการประจำเข้ามาร่วมมีอำนาจในรัฐสภา เรียกได้ว่า ฝ่ายทหารสามารถสืบทอดอำนาจในกรอบกฎหมายได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพราะคุณทักษิณ และระบอบของเขา ยังกระทำตนเป็นตัวเล่นหลักทางการเมืองไทยอยู่ และในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มผู้คนต่อต้านทักษิณอยู่ และตกลงใช้ฝ่ายทหารและกลไก ซึ่งฝ่ายทหารก็รับด้วยความยินดี
ผ่านมาสิบกว่าปี ก็แปลกที่คุณทักษิณไม่รู้ตัวสักที ว่าหากไม่เลิก ฝ่ายทหารและกลุ่มประชาชนผู้สนับสนุนทหาร เขาก็ไม่ยอมเลิก มองยังไง คุณทักษิณก็ดูไม่มีทางชนะเอาเสียเลย รบกันไปมา ผลัดกันครองอำนาจกันชั่วคราว ประเทศก็บอบช้ำ แย่ลงไปเรื่อยๆ
ถ้าอยากให้ประเทศไปข้างหน้า ฝ่ายทหารวางมือจากการเมือง และคุณทักษิณก็ยอมล้างมือเช่นกัน ถ้าคุณทักษิณเริ่มก่อน พวกฝ่ายทหารก็ไม่มีเหตุไว้อ้างเพื่ออยู่บนเวทีการเมืองต่อไป
แต่ถ้าคุณทักษิณไม่ขยับ ฝ่ายทหารก็ไม่เขยื้อน สถานการณ์ก็ยื้อกันไปเรื่อยๆ
ถ้าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกิดขึ้น ภาระของการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองก็คงต้องตกมาที่ประชาชนพลเมือง ในการต้องออกมาทำหน้าที่ของการเป็นเจ้าของประเทศ แบบเต็มใบ และเต็มกำลัง
เมื่อนั้น พลังขั้วที่สามแห่งขบวนการประชาธิปไตยภาคประชาชน ก็จะกลายเป็นทางออกของประเทศ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี