วันอาทิตย์ ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
คำพิพากษาของศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลใด ทุกฝ่ายจะต้องเคารพ
หากไม่เห็นพ้อง ผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องก็จะต้องใช้สิทธิตามกฎหมายต่อไป
สุดท้าย ผู้มีอำนาจหน้าที่พิพากษาชี้ขาด ก็คือศาลยุติธรรม
1. เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 ศาลอาญา อ่านคำพิพากษา คดีแกนนำ นปช.ก่อการร้าย กรณียุยงปลุกปั่นประชาชนให้เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช. ต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. – 20 พ.ค. 2553 บังคับขู่เข็ญรัฐบาลในขณะนั้น
คดีหมายเลขดำ อ.2542/2553 อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง
จำเลย 24 ราย อาทิ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ, นายก่อแก้วพิกุลทอง, นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง เป็นต้น
ข้อหาความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1, 135/2 ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา ให้ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามมาตรา 116, 215, 216 และร่วมกันชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 รวม 6 ข้อหา
ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง
รายละเอียดดังที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว
2. อัยการที่ฟ้อง คือ อัยการสำนักงานคดีพิเศษ
น่าสนใจว่า บุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นอัยการสูงสุดคนใหม่ ที่วุฒิสภากำลังตรวจสอบประวัติอยู่ในขณะนี้ ก็คืออดีตอธิบดีสำนักงานคดีพิเศษ
น่าคิดว่า ในคำพิพากษาที่ศาลยกฟ้องนั้น ได้แสดงเหตุผลไว้หลายประการ
หากพิจารณาตามเอกสารข่าวฉบับย่อที่ศาลอาญาได้เผยแพร่นั้น จะเห็นว่ามีหลายประเด็นที่อัยการคงต้องพิจารณาว่าจะอุทธรณ์คดีนี้หรือไม่ อย่างไร? และน่าคิดว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
อาทิ
2.1 ศาลอาญาชี้ว่า “...จากพยานหลักฐานทางนำสืบของโจทก์ไม่มีพยานปากใดที่เข้ามาเบิกความยืนยันว่ามีจำเลยคนหนึ่งคนใดที่เป็นแกนนำกลุ่มนปช. ได้ทำการปราศรัยหรือกระทำการอันเป็นการยุยงปลุกปั่นให้ผู้ร่วมชุมนุมกระทำการดังที่ได้ระบุไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 135 / 1 วงเล็บ(1)ถึง(3) แม้โจทก์จะมีพยานเบิกความต่อศาลว่าระหว่างการชุมนุมของกลุ่มนปช. มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นมากมายหลายแห่งตามข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องแต่พยานโจทก์ไม่ได้เบิกความยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นการกระทำของบุคคลใดหรือเป็นการกระทำของฝ่ายใดและไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของแหล่งข่าวว่าเป็นจริงหรือไม่ อย่างไร...”
เหตุใด จึงไม่มีพยานยืนยันว่าแกนนำ นปช.ปราศรัยยุยงปลุกปั่น?แกนนำไม่เคยปราศรัยเช่นนั้นเลย จริงหรือ?
อัยการจะสามารถหาพยานหลักฐานใหม่เพิ่มเติมเข้ามาประกอบการอุทธรณ์ได้หรือไม่
2.2 ศาลอาญาชี้ว่า “...เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม โดยเฉพาะเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ก็ไม่มีพยานปากใดเบิกความยืนยันว่าเป็นการกระทำของกลุ่มนปช. การเดินทางไปที่รัฐสภาและสถานีดาวเทียมไทยคมก็เป็นการเดินทางไปเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลมีคำสั่งให้ต่อสัญญาณสถานีโทรทัศน์ช่องพีเพิลชาเเนล ที่รัฐบาลมีคำสั่งให้ปิดหรือตัดสัญญาณไปก่อนหน้านั้น ชายชุดดำก็ไม่ปรากฏว่าเป็นกองกำลังของฝ่ายใด...”
อัยการจะสามารถหาพยานหลักฐานใหม่เพิ่มเติมเข้ามาประกอบการอุทธรณ์ในประเด็นนี้ ได้หรือไม่?
2.3 ศาลอาญาชี้ว่า “...การที่แกนนำกลุ่มนปช. ปราศรัยบนเวที ที่ว่าหากทหารออกมาสลายการชุมนุมหรือทำรัฐประหารให้ประชาชนนำน้ำมันและให้มีการเผานั้น เป็นการกล่าวปราศรัยบนเวทีก่อนวันที่จะมีการชุมนุมใหญ่หลายวันและไม่มีเหตุการณ์เผาทำลายทรัพย์สินตามที่มีการปราศรัยแต่อย่างใด การวางเพลิงเผาเกิดขึ้นช่วงบ่าย
วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ภายหลังจากแกนนำกลุ่มนปช.ประกาศยุติการชุมนุมแล้ว ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยในเรื่องการวางเพลิงเผาทรัพย์ไว้เป็นที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8132 / 2561ว่ามิใช่เป็นการกระทำของกลุ่มนปช...”
อัยการจะสามารถหาพยานหลักฐานใหม่เพิ่มเติมเข้ามาประกอบการอุทธรณ์ในประเด็นนี้ ได้หรือไม่?
กรณีการเผาศาลากลางในต่างจังหวัด 4 แห่ง ที่ศาลพิพากษาแล้วว่าแนวร่วม นปช.เผาจริงๆ ติดคุกอยู่จริงๆ มีหลักฐานอะไรเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของแกนนำส่วนกลาง หรือไม่?
2.4 ศาลอาญาชี้ว่า “...แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมประกาศแนวทางการต่อสู้มาโดยตลอดว่าเป็นการชุมนุมโดยสันติวิธีสงบและปราศจากอาวุธ และปฏิเสธเข้ามาดำเนินการของพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง กับพวกซึ่งมีแนวทางการต่อสู้คนละแนวกันตลอดมา การดำเนินการของพลตรีขัตติยะกับพวกจึงไม่ใช่เป็นการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มนปช...”
อัยการจะสามารถหาพยานหลักฐานใหม่เพิ่มเติมเข้ามาประกอบการอุทธรณ์ในประเด็นนี้ ได้หรือไม่?
2.5 ศาลอาญาชี้ว่า “...การที่จำเลยที่ 7 กับพวกขัดขวางการลำเลียงกำลังพลของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารบริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าและยึดเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ไปแสดงต่อสื่อมวลชนบริเวณเวทีปราศรัย และต่อมาเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องรับเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายเหล่านั้นกลับคืนไปหมดแล้ว การกระทำดังกล่าวมิได้ประสงค์เอาแก่ตัวทรัพย์เพื่อเอาเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ชอบจึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์...”
อัยการจะสามารถหาพยานหลักฐานใหม่เพิ่มเติมเข้ามาประกอบการอุทธรณ์ในประเด็นนี้ ได้หรือไม่?
กองทัพยืนยันว่าได้รับอาวุธกลับคืนครบถ้วนแล้ว จริงหรือ? มีพยานหลักฐานใหม่ในเรื่องนี้ หรือไม่?
2.6 ศาลอาญาชี้ว่า “...โจทก์ฟ้องคดีนี้รวม 5 สำนวน ขอให้ลงโทษฐานก่อการร้าย โดยบรรยายฟ้องถึงลักษณะการกระทำความผิดต่างๆเพื่อให้ครบองค์ประกอบความผิดและไม่ได้ขอให้ลงโทษในการกระทำความผิดลักษณะต่างๆมาด้วย จึงถือว่าเหตุการณ์ต่างๆตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ...”
ประการสำคัญ เหตุใดอัยการผู้เป็นโจทก์ จึงกระทำเช่นนั้น?
ถือว่าปกติหรือไม่?
จะสามารถหาพยานหลักฐานใหม่เพิ่มเติม หรือยื่นอุทธรณ์ในประเด็นนี้ อย่างไร?
สารส้ม

‘กรมการค้าภายใน’เกาะติด‘น้ำท่วมใต้’ สั่งคุมเข้มป้องกันสินค้าขาดแคลน-ห้ามขึ้นราคาเด็ดขาด
ตรังท่วมหนัก9อำเภอ! กู้ภัยตรังฝ่าน้ำหลาก ช่วยผู้สูงอายุ 80 ปี
DSI ลุยคดีสแกมเมอร์โจมตีเว็บรัฐ ส่งตัวผู้ต้องหารายที่ 19 ฝากขัง ศาลไม่ให้ประกัน
‘พีระพันธุ์’ย้ำชัด‘รวมไทยสร้างชาติ’ ยืนบนหลักการ‘ไม่รวมพรรค’ มุ่งทำงานเพื่อประชาชน
ฟาดจุกๆ!‘คุก VIP’ ตำรวจจับ อัยการฟ้อง ศาลพิพากษาติดคุก ‘ราชทัณฑ์’กลับส่งขึ้นสวรรค์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี