นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ชักแม่น้ำทั้งห้า อธิบายถึงการอุ้มผู้ประกอบการรถตู้ ช่วยให้ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นไมโครบัส และขยายอายุรถตู้จาก 10 ปี เป็น 12 ปี
อ้างว่า ไม่ได้ห้ามเปลี่ยนรถตู้เป็นไมโครบัส แต่ถือเป็นการไม่ใช้มาตรการบังคับ ให้ดำเนินการด้วยความสมัครใจ
อธิบายถึงภาวะเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนรถจากรถตู้ไปเป็นไมโครบัสที่มีราคาสูง หรือประมาณ 2.2 ล้านบาทต่อคัน (จากราคารถตู้ที่อยู่ประมาณ 1.2-1.3 ล้านบาทต่อคัน) หากใช้มาตรการบังคับ อาจจะทำให้ปริมาณรถในระบบที่เคยให้บริการลดลง และส่งผลกระทบกับประชาชน
“ถ้าผู้ประกอบการเปลี่ยนรถตู้เป็นไมโครบัสนั้น จะทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการสูงขึ้น การปรับราคาค่าโดยสารสูงขึ้นก็จะตามมา และจะส่งผลกระทบกับประชาชน ที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ถ้าต้นทุนที่สูงขึ้น ก็จะส่งผลให้มีการขับรถเร็วเพื่อ “ทำรอบ” เพิ่มขึ้นด้วย” นายศักดิ์สยามกล่าว
นายศักดิ์สยามอธิบายว่า สถิติอุบัติเหตุของรถตู้ส่วนใหญ่ จะเกิดขึ้นจากสมรรถนะทางร่างกายและจิตใจของผู้ขับ รวมถึงสภาพแวดล้อม 72% และมีสาเหตุจากยานพาหนะเพียง 2.9% เท่านั้น ขณะที่รถโดยสารทั่วไป มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุจากผู้ขับ 67% และเกิดจากรถเพียง 6.8% ดังนั้น สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก คือ ผู้ขับยานพาหนะ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเข้มงวด
1. นี่คือการเปลี่ยนนโยบายจากยุครัฐบาล คสช. ในลักษณะเหยียบเบรกหัวทิ่ม และเข้าเกียร์ถอยหลัง
เป็นการทำร้ายผู้ประกอบการที่เชื่อมั่นในแนวนโยบายของภาครัฐทางอ้อม และให้ท้ายผู้ประกอบการที่ไม่ยอมปรับเปลี่ยนตัวเอง โดยที่การเปลี่ยนแปลงนั้นสมควรจะต้องทำด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน
น่าคิดว่า สวนทางกับแผนการปฏิรูปประเทศ และแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ประกาศไว้แล้ว หรือไม่?
หากดำเนินการเช่นนี้ ย่อมเป็นภาพสะท้อนถึงปัญหาการเมืองไทยได้เป็นอย่างดี ว่ารัฐบาลเปลี่ยน นโยบายรัฐเปลี่ยน แล้วต่อไปนี้เอกชนจะมีความมั่นใจในการตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างไร?
2. ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย ได้ให้ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจ ในแฟนเพจ Thailand Accident Research Center สมควรที่รัฐมนตรีคมนาคม รวมถึงรองนายกฯ ที่กำกับดูแลกระทรวงคมนาคม และนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้เป็นอดีตนายกฯ ในรัฐบาลที่แล้ว และอดีตหัวหน้า คสช. น่าจะพิจารณาใคร่ครวญ
คิดทบทวนเสียใหม่
มุ่งเดินหน้าประเทศสู่การปฏิรูปจะดีกว่า
ใจความสำคัญ ระบุว่า “...จากนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่กำหนดให้รถตู้ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นรถมินิบัสในทันที แต่เปลี่ยนเป็นภาคสมัครใจ และขยายการบังคับใช้รถตู้ที่หมดอายุการใช้งาน 10 ปี ขยายเวลาเป็น 12 ปีนั้น สร้างความฮือฮาแก่คนที่ทำงานทางด้านความปลอดภัยทางถนน และประชาชนผู้ใช้รถตู้เป็นอย่างมาก
ก่อนอื่นอยากให้ท่านฟังเสียงจากพวกเรา รวมถึงประชาชนส่วนใหญ่ที่ชีวิตต้องขึ้นอยู่กับการเดินทางด้วยรถตู้โดยสารสาธารณะดูบ้าง
1. เป็นเรื่องจริงที่ท่านบอกว่า อุบัติเหตุทางถนนเกิดจากผู้ขับขี่บกพร่อง มากกว่าเกิดจากยานพาหนะ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุรถตู้คืออะไร
คำตอบคือ การใช้ความเร็วของผู้ขับขี่ เนื่องมาจากคนขับรถตู้ต้องการวิ่งทำรอบ หรือไม่ก็เป็นพฤติกรรมส่วนตัวในการขับรถเร็วของคนขับ แต่..เมื่อเทียบรถตู้ กับรถมินิบัส ที่มาตรการเดิมจะให้เปลี่ยนไปใช้นั้น ท่านทราบหรือไม่ว่าด้วยสมรรถนะของรถตู้ ทำให้สามารถทำความเร็วได้มากกว่ารถมินิบัส (นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่มาตรการเดิมจะให้เปลี่ยนไปใช้รถมินิบัส) รถตู้จะทำความเร็วได้เหมือนรถเก๋ง เราจะเห็นกันเสมอว่า ขับรถไปอยู่บนถนน ก็จะมีรถตู้แซงขวาพรวดขึ้นไปอยู่เสมอ(นี่ยังไม่อยากจะนึกถึง นโยบายใหม่ที่ท่านจะให้เพิ่มความเร็วจำกัดเป็น 120 กม.ต่อชม.)ดังนั้น จะพูดว่า อุบัติเหตุรถตู้ ไม่เกี่ยวกับยานพาหนะ จึงไม่ใช่ข้อสรุปที่ถูกต้องนัก
2. สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถตู้ ท่านลองหลับตาแล้วนึกภาพตามว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ภายในรถตู้ที่มักมีการติดตั้งที่นั่งเรียงเป็นแถวๆ ถ้าเป็นรถโดยสารสาธารณะทั่วไป จะมี 4 แถวตอนหลังจากที่นั่งคนขับ ถ้านั่งกันเต็มรถ จะจุคนด้านหลังได้ 12-13 คน แล้วถ้าพูดถึงความเป็นจริงเรื่องเข็มขัดนิรภัย บอกได้เลยว่า น้อยมากที่ผู้โดยสารจะคาดเข็มขัดนิรภัยขณะนั่งรถตู้
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าไปสำรวจดีๆ จะพบว่า มีรถตู้หลายคัน ที่ไม่มีการติดตั้งเข็มขัดนิรภัย หรือติดตั้งก็ไม่สามารถใช้งานได้ ผูกไว้ด้านหลังบ้าง ที่เสียบเสียบ้าง เมื่อรถตู้เกิดคว่ำหรือแค่พลิกขึ้นมา คนทั้งหมดในรถจะกองไปรวมกันอยู่ข้างใดข้างหนึ่งของรถ
ก่อนอื่นเลย ต้องมีการบาดเจ็บแน่ๆ เพราะจะกระแทกกันเองก่อน ถ้ารถพลิกคว่ำด้านซ้ายทับประตูสไลด์ ก็จบกัน จะออกทางไหนได้ นอกจากช่องหน้าต่างเล็กๆ กับประตูหลัง คนตัวเล็กๆ เท่านั้น ที่จะปีนออกทางช่องหน้าต่างรถตู้ได้ ส่วนประตูหลัง บอกได้เลยว่ายากมากที่จะหนีออกมาได้ เพราะกว่าจะปีนข้ามเบาะสูงๆ เพื่อไปเปิดประตูหลังออกมา
3. ซ้ำร้ายไปกว่านั้น จากหลายๆ เคสอุบัติเหตุรถตู้ที่ทางศูนย์วิจัยฯ ได้เคยไปเก็บข้อมูลมา พบว่า เมื่อเกิดการชนเกิดขึ้น ถังน้ำมันซึ่งอยู่ค่อนไปทางด้านหน้า ท่อน้ำมันมักจะแตก พอชนก็จะเกิดประกายไฟ ไฟจะเริ่มลุกไหม้จากทางด้านหน้ารถ ลามไปด้านหลัง คนขับอาจจะรอด เพราะหนีได้จากประตูคนขับ (แต่หลายรายก็ไม่รอด เพราะถ้าชนด้านหน้าเต็มๆ รถตู้หน้าสั้น คนขับก็อาจตายก่อน) ส่วนผู้โดยสารที่กองไปอยู่ด้านใดด้านหนึ่งของรถ เมื่อเกิดการชน ผู้โดยสารที่กำลังอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บอยู่แล้ว เมื่อมีไฟลามมาจะหนีไปทางไหนได้
เรียกได้ว่า เหมือนปลากระป๋องอัดแน่นกันอยู่ในรถ ไม่มีทางออกเลยทีเดียว
ลองนึกภาพตามว่า เวลาไฟไหม้นี่มันจะลามไปเร็วขนาดไหน ยิ่งมีเบาะที่นั่งเป็นเชื้อเพลิงอีก รับรองได้เลยว่าหนีออกมาไม่ทันแน่ๆ เราเลยมักเห็นเคสอุบัติเหตุรถตู้หลายๆ เคส ที่ถ้ามีไฟไหม้ขึ้นมา มักจะมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
4. ถ้าพูดถึงรถมินิบัสล่ะ เห็นภาพก็รู้แล้วว่ารถมินิบัส มีพื้นที่ภายในรถมากกว่า มีช่องทางเดินตรงกลาง หน้าต่างมีขนาดใหญ่กว่า มีประตูฉุกเฉินทางด้านขวา และส่วนใหญ่มักจะมีประตูฉุกเฉินบนหลังคารถด้วย เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะสามารถหนีออกมาได้เร็วกว่า ท่านลองทดสอบดูก็ได้ว่า เอาผู้โดยสาร 12-13 คนให้นั่งบนรถตู้ กับนั่งบนรถบัส รถประเภทไหนผู้โดยสารจะใช้เวลาหนีลงมาได้เร็วกว่ากัน
5. เมื่อพูดถึงเรื่องความเร็ว กับเรื่องเข็มขัดนิรภัย ไม่อยากให้ท่านคิดว่าการควบคุมความเร็วโดยการติดตั้ง GPS หรือการใช้มาตรการทางด้านกฎหมายบังคับให้คาดเข็มขัดนิรภัยจะใช้ได้ผลเสมอไป การติดตั้ง GPS นั้นก็ยังมีความจำเป็นอยู่แต่ในความเป็นจริง ยังมีรถตู้อีกหลายคันที่ติดตั้ง GPS แล้วแต่ก็ไม่ได้เชื่อมข้อมูลไปที่กรมการขนส่งทางบก หรือเมื่อตรวจสอบว่ารถตู้คันนี้มีการใช้ความเร็วเกินกำหนดการเตือนก็ไม่ได้ทำได้ทันที คือ ถ้าขับเร็วๆ อยู่ คงไม่มีใครโทร.ไปแจ้งให้คนขับคันนั้นขับรถช้าลง อย่างมากก็เป็นการเตือนเมื่อรถตู้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
ส่วนเรื่องการบังคับให้คาดเข็มขัด ผู้เขียนไม่อยากให้ทุกอย่างไปขึ้นอยู่กับการบังคับผู้โดยสาร เพราะแน่นอนว่าเราทำไม่ได้ 100% เอาง่ายๆ เรื่องหมวกกันน็อกเราเห็นๆ กันอยู่บนถนนทั่วไป ยังไม่สามารถบังคับให้คนขับขี่มอเตอร์ไซค์สวมหมวกกันน็อกได้ 100% เรื่องเข็มขัดบนรถตู้นี่จะไปตรวจสอบได้ยากมาก
6. สุดท้ายอยากให้ท่านรัฐมนตรี พิจารณาไตร่ตรองถึงนโยบายนี้อย่างรอบคอบอีกครั้ง
กว่ามาตรการการเปลี่ยนรถตู้เป็นรถมินิบัสจะออกมาได้นี้ เราต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินไปมากมายขนาดไหนเพื่อจะแลกกับนโยบายด้านความปลอดภัยนี้ออกมาได้ มีการศึกษาและมีข้อมูลทางด้านวิชาการมากมายที่สนับสนุนแนวคิดการเปลี่ยนแปลงการใช้รถตู้นี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เริ่มต้นมาจากการเสียชีวิตเป็นจำนวนมากของคนไทยจากการโดยสารรถตู้ในอดีตที่ผ่านมา
อยากให้ท่านพิจารณาว่า ความสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นหมื่นล้านในการนำเข้ารถมินิบัสที่ท่านอ้างถึง (ซึ่งผู้เขียนยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก ว่ารถมินิบัสต้องใช้วิธีการนำเข้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น) เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าชีวิตคนไทย ที่ต้องมาเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ จากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะที่หน่วยงานของรัฐเป็นผู้กำกับดูแล (ซึ่งก็มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นเดียวกัน) อย่างไหนเราควรให้ความสำคัญมากกว่ากัน
อีกเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจก็คือ ในการยกระดับความปลอดภัยของการเดินทางด้วยรถตู้โดยสารสาธารณะ เราต้องทำให้องค์ประกอบทุกด้านของการเดินทางด้วยรถตู้นั้นปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น คนขับรถตู้ ยานพาหนะ อุปกรณ์นิรภัย ผู้โดยสาร สภาพถนนและสิ่งแวดล้อม ขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง การยกระดับความปลอดภัยจะล้มเหลวทันที ดังนั้น เราจึงไม่สามารถที่จะไปมุ่งหวังเฉพาะตัวคนขับรถเพียงอย่างเดียวได้
แนวคิดนี้ได้ถูกพิสูจน์มาแล้วในหลายๆ ประเทศที่เค้าประสบความสำเร็จในการพัฒนาทางด้านความปลอดภัยทางถนน ถ้าประเทศไทยอยากจะไปสู่จุดๆ นั้นอาจต้องถึงเวลาเปลี่ยนความคิดที่ว่าสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนมาจากผู้ขับขี่เท่านั้น..”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี