จีนได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบจักรพรรดิอาญาสิทธิ์มาเป็นสาธารณรัฐ เมื่อปี ค.ศ. 1912 (พ.ศ. 2455) ภายใต้การนำพาของรัฐบุรุษ ซุน ยัต เซ็น แต่เนื่องจากท่านอายุสั้นจึงไม่มีเวลาเพียงพอที่จะปลูกฝัง ประคับประคองสังคมประชาธิปไตยให้เจริญงอกงาม
หลังจากอสัญกรรมของ ดร.ซุน ยัต เซ็น บ้านเมืองก็เกิดความระส่ำระสาย เต็มไปด้วยความแตกแยก ต่างชิงดีชิงเด่นกันจากหลายหมู่หลายก๊ก จนในที่สุด นายพล เจียง ไค เชก ก็สามารถกุมชัยชนะ ทำการปราบดาภิเษกขึ้นปกครองประเทศ แต่ยังไม่จะทันได้ตั้งตัว จีนก็เผชิญกับการรุกรานของญี่ปุ่นอย่างฉับพลัน ในขณะที่ยังมีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นคู่แข่งทางการเมืองในประเทศ
และเมื่อสองฝ่ายยอมสงบศึกภายในชั่วคราว แล้วร่วมมือกับฝ่ายตะวันตกและประเทศพันธมิตรในการต่อต้านญี่ปุ่น จีนก็มีชัยชนะเหนือญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากนั้น ฝ่ายก๊กมินตั๋ง ที่นำโดยนายพล เจียง ไค เชก ก็หันกลับมาประหัตประหารกันเองกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ที่นำโดย เหมา เจ๋อ ตุง จนเกิดเป็นสงครามกลางเมือง
ในที่สุด ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ได้รับชัยชนะ สามารถตีฝ่ายก๊กมินตั๋งให้ถอยร่นจนตกทะเล ต้องหนีข้ามไปตั้งมั่นอยู่ที่เกาะฟอร์โมซา (ไต้หวัน) จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ นัยหนึ่งก็ถือได้ว่าจีนยังอยู่ในสภาวะขัดแย้ง หรืออยู่ภายใต้สงครามกลางเมืองที่ยังไม่แล้วเสร็จ เรียกว่าจีนยังรวมประเทศไม่สำเร็จ
จีนภายใต้การนำพาของ เหมา เจ๋อ ตุง ในระบบนารวม และต่อด้วยนโยบายปฏิวัติสังคม ระหว่างปี ค.ศ. 1949 ถึง ปี ค.ศ. 1974 ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากมายมหาศาล ชาวจีนล้มตายไปหลาย 10 ล้านคน สังคมเต็มไปด้วยความอดอยาก ปั่นป่วน สิ้นหวัง ซึ่งสะท้อนว่า ระบบคอมมิวนิสต์สไตล์เหมา เจ๋อ ตุง ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เท่ากับว่า ช่วงแรกของจีนภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์เพียวๆ ไม่สามารถนำพาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้
และเมื่อ เติ้ง เสี่ยว ผิง เข้ารับอำนาจบริหารต่อจาก เหมา เจ๋อ ตุงระหว่างปี ค.ศ. 1967 ถึงปี ค.ศ. 2000 กว่าโดยประมาณ จีนก็ได้รับการเปลี่ยนนโยบาย และทิศทางการพัฒนาประเทศ โดยคงระบบพรรคเดียวไว้ แต่เริ่มรับระบบเศรษฐกิจการตลาดแบบทุนนิยมเข้ามาแทนที่ระบบเศรษฐกิจแบบผูกขาดโดยรัฐและพรรคคอมมิวนิสต์ ประเทศจีนก็เริ่มประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี รวมทั้งการทหาร อย่างต่อเนื่อง จนถึงยุคของ สี จิ้น ผิง จีนก็กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และการทหาร ซึ่งถือเป็นอัตราการพัฒนาประเทศอย่างหามีใครเสมอเหมือนได้
ณ วันนี้ - จีน เป็นประเทศที่มีอันดับเศรษฐกิจเป็นที่ 2 ของโลก
- จีน มีชนชั้นกลางกว่า 400 ล้านคน (จากประชากรรวม1,400 ล้านคน)
- จีน มีแสนยานุภาพทางทหาร มิใช่แค่จำนวนทหารเท่านั้น แต่คุณภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่น้อยหน้าใคร
- จีน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ได้ในมาตรฐานระดับโลก
- จีน เป็นโรงงานผลิตสินค้าอุปโภค บริโภค ให้กับโลก
- จีน ไม่ด้อยในเรื่องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อชีวิตประจำวัน และการบริการของรัฐ และของเอกชนต่างๆ
- จีน เป็นเสียงใหญ่ในเวทีโลก
- จีน เป็นนักลงทุนในต่างประเทศ ในระดับชั้นนำ
- จีน ให้ความช่วยเหลือต่างประเทศมากกว่าประเทศใดๆ
คนจีนในวันนี้จึงมีความภูมิอกภูมิใจกับความสำเร็จดังกล่าวภายใต้การนำพาของผู้นำยุคหลัง เหมา เจ๋อ ตุง ประเทศจีน จึงมีความมั่นใจถึงขั้นกล้าหาญชาญชัยที่จะ “ส่งออก” รูปแบบการบริหารปกครองประเทศ (พรรคเดียวนำพา ควบคู่กับเศรษฐกิจแบบทุนนิยม) ไปยังสังคมโลก
ชาวโลกต่างตกตะลึงความก้าวหน้าของจีน ก็แซ่ซ้อง สรรเสริญประเทศจีน ผู้นำหลายประเทศก็เลยรู้สึกอยากนำพาประเทศไปในทิศทางเผด็จการพรรคเดียวแบบของจีน โดยอ้างว่า จะทำให้ประเทศมีเสถียรภาพ ไม่ต้องสับสนวุ่นวายกับเรื่องแข่งขัน แก่งแย่งอำนาจบริหาร ซึ่งทำให้บ้านเมืองวุ่นวายโดยใช่เหตุ
ซึ่งหากจะมองกันแค่ด้านวัตถุนิยมแล้ว ก็ถือได้ว่าประเทศจีนนั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ก็คงต้องชื่นชม เติ้ง เสี่ยว ผิง และผู้นำในยุคต่อๆ มา ที่ต่างอุทิศตัวเพื่อส่วนรวม และประเทศอย่างแท้จริง (ต่างกับผู้นำเผด็จการในหลายประเทศ ที่เมื่อมีอำนาจแล้ว กลับคิดแต่ตัวเอง ลืมประเทศไปสิ้น)
อย่างไรก็ดี ภายใต้ภาพแห่งความสำเร็จ และความยิ่งใหญ่ของจีนนั้น ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า สังคมจีนนั้นมีปัญหาตามมาหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า ระบบพรรคเดียวที่เป็นเผด็จการนั้น คือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และแฝงไว้ด้วยการสอดส่อง สอดแนม ควบคุมประชากรอยู่ทุกขณะ โดยเฉพาะยิ่งระบบเทคโนโลยีดิจิทัลก้าวหน้าเท่าใด ก็ยิ่งมีความสามารถในการคุมประชากรได้มากขึ้นเท่านั้น
ที่ผ่านมา จีนมีการจำกัดสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน เช่น การกำหนดให้แต่ละครอบครัวมีบุตรได้ 1 คน โดยเพิ่งจะเพิ่มใหม่ได้เป็น2 คน เมื่อไม่กี่ปีมานี้ นอกจากนั้นคนจีนยังไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกต่างๆ ทางการเมือง รวมถึงด้านศาสนาและความเชื่อถืออีกด้วย
และคนจีนที่เป็นแรงงานอพยพจากชนบทสู่ตัวเมือง ก็ยังไม่ได้รับสิทธิและการคุ้มครอง เสมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อยู่อาศัย หรือการรักษาพยาบาล เป็นต้น
ในชนบทและชานเมือง ก็มีการรุกล้ำที่ทำกินโดยรัฐ เพื่อพัฒนาเมืองและพัฒนาเขตอุตสาหกรรมอย่างไม่เป็นธรรม
ชนกลุ่มน้อยถูกกลืนชาติพันธุ์ ล่าสุดก็คือ ชาวทิเบต และชนชาวอุยกูร์ และคาซัค โดยมีข่าวว่า ชาวอุยกูร์ถูกบังคับให้อยู่ในค่ายกักกันประมาณ 1.5 ล้านคน โดยฝ่ายทางการอ้างว่า เพื่อให้การศึกษาฝึกอบรม เพื่อป้องกันการมีหัวรุนแรง หรือการยึดศาสนา(มุสลิม) เป็นแบบการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพทางการเมือง
ที่สำคัญ เหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินกลางกรุงปักกิ่งเมื่อปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) ได้ทำให้ พรรคคอมมิวนิสต์ได้ก่อเหตุสะเทือนขวัญ ส่งผลให้รัฐบาลจีนเสียภาพลักษณ์อย่างรุนแรงในเวทีโลก
การเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปี ของชัยชนะและการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อวันอังคารที่ 1 ตุลาคมนี้ นั้นเต็มไปด้วยขบวนพาเหรดต่างๆ สวยงามใหญ่โต โดยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เอาออกมาแสดงนั้น แสนยานุภาพไม่เป็นรองใคร แต่ทว่าในภาพข่าวนั้น ไม่ได้มีผู้คนมายืนเชียร์ หรือโบกธงอยู่2 ข้างถนน ชาวจีนและชาวโลกได้ชื่นชมความสำเร็จ และความยิ่งใหญ่ของจีนผ่านทางจอโทรทัศน์เท่านั้น เนื่องจากผู้นำจีนเกรงว่า อาจจะมีการประท้วงขึ้นระหว่างพิธีเฉลิมฉลอง จากความที่ว่า ที่ฮ่องกงนั้นยังมีการประท้วงอย่างต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลเกรงว่าจะมี Hong Kong Fever เกิดขึ้นได้ ก็ต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมโดยการให้ผู้คนร่วมเฉลิมฉลองกันที่บ้าน
คนไทยเราทุกหมู่เหล่าก็อดชื่นชมกับความสำเร็จของจีนมิได้ แต่ก็ต้องอย่าลืมว่า ความสำเร็จของจีนนั้นมาพร้อมกับการสูญเสียทั้งชีวิต และคุณค่าและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
นอกจากนั้นแล้ว คนไทยและชาวอาเซียนด้วยกัน ก็ต้องไม่ลืมว่า จีนได้มุ่งครอบงำ ขยายอิทธิพลและคุกคามประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกให้คล้อยตาม จีนได้สร้างความแตกแยกในหมู่อาเซียนอยู่ทุกวี่ทุกวัน ซึ่งก็ได้แต่หวังว่า ผู้นำไทย และประเทศอาเซียนต่างๆ จะไม่เคลิ้มไปกับคำเยินยอ และความเอื้อเฟื้อของจีน จนหันเหทิศทางประเทศไปยังระบอบเผด็จการพรรคเดียว ซึ่งหลายๆ ประเทศ ในขณะนี้ ก็เริ่มดูหวาดๆ ไปกับจีนหลายเรื่องแล้ว ผู้นำประเทศที่ยังหลงใหลจีนก็ควรตื่น แล้วทำการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่มุ่งใช้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งส่วนตัวกับจีน เพื่อประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น
ทั้งนี้ใครจะไปรู้ได้ว่า หากในอดีต จีนเกิดเลือกที่จะเป็นประเทศเปิด เป็นประเทศเสรีแล้ว ในวันนี้ เขาก็อาจจะสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดได้เช่นเดียวกัน ดังที่ไต้หวันสามารถกระทำได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี