คณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน ตามพ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 จะประชุมกันในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ เพื่อพิจารณาเรื่องการแบน 3 สารกำจัดวัชพืช ได้แก่ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ที่ถูกมองว่าเป็นอันตรายต่อประชาชน
ผลการประชุมจะแบนหรือไม่แบนก็ยังไม่มีใครรู้
ถ้าพลิกล็อกที่ประชุมไม่แบน 3 สารพิษ รัฐมนตรีรายใดจะออกตำแหน่งบ้าง
หรือถ้าองค์ประชุมไม่ครบล้มประชุมโดยอัตโนมัติแล้วจะทำอย่างไร!
3 สารพิษตัวนี้มีทั้งฝ่ายสนับสนุนให้ยกเลิก และฝ่ายที่ไม่อยากให้ยกเลิกโดยเฉพาะเกษตรกร ถึงกับขึ้นป้ายว่า “พอได้กัญชาก็ลืมชาวนาชาวไร่” (ฮา...)
ครับก็มีบทความจากท่านผู้รู้ส่งมาให้ผม น่าสนใจว่า นโยบายของพรรคภูมิใจไทย ในเรื่องการแบนบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามตามที่กฎหมายบังคับ และการแบนสารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด ทำให้เกิดคำถามว่าสังคมไทยประชาชน และหน่วยราชการต่างๆ มีข้อมูลเพียงพอขนาดไหนในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวก่อนที่รัฐจะกำหนดเป็นนโยบายสาธารณะให้ชัดเจน
ทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและสารเคมีเกษตรทั้ง 3 ชนิด ต่างก็มีทั้งประโยชน์และขณะเดียวกันก็มีผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพซึ่งเป็นความตั้งใจดีของพรรคภูมิใจไทยที่ต้องการดูแลสุขภาพของประชาชน แต่ยังมีเหตุผลข้างเคียงอีกมากมายที่อาจยังมองไม่เห็น และจะมีปัญหาในอนาคต
การกำหนดนโยบายสาธารณะที่ดีต้องมีข้อมูล มีหลักฐานมีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ มีการถกเถียงนำเสนอข้อมูลอย่างโป่รงใส รอบด้าน รอบคอบมีการพิจารณาทั้งข้อดีและข้อเสีย เพื่อชั่งน้ำหนัก รวมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบต่อ ทุกฝ่ายทั้งรัฐ เอกชน ประชาชน
แต่ปรากฏการณ์ที่เราเห็นได้ช่วงที่ผ่านมา เรากลับได้เห็นข้อมูลเพียงด้านเดียวเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะการคัดค้าน เราเห็นการขึ้นป้ายคัดค้านสารเคมี เห็นข่าวที่เป็นกระแสกดดันผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ใครไม่เห็นด้วยกับการแบนกลายเป็นฝ่ายไม่รักสุขภาพประชาชน หรือแม้กระทั่งการประกาศว่าฝ่ายการเมืองจะลาออกถ้าควบคุมข้าราชการในสังกัดให้โหวตไปในทางที่ต้องการไม่ได้ทำให้ข้าราชการต้องกลายเป็นผู้ออกมาสนับสนุนการเมืองแบบออกนอกหน้า
เราควรตั้งคำถามกับการกำหนดนโยบายสาธารณะของรัฐบาลในลักษณะนี้อีกครั้ง เพราะข้อมูลบนสื่อสารสาธารณะที่ถูกนำเสนอโดยนักวิชาการ ฝ่ายการเมือง มีลักษณะกดดัน เลือกข้าง ใครเห็นต่างคือฝ่ายตรงข้าม ไม่เห็นต่อสุขภาพของประชาชนเป็นการนำเอาเรื่องสุขภาพมาเป็นธงนำโดยบดบังมิติอื่นๆ ที่มากกว่าเรื่องสุขภาพที่ต้องร่วมกันพิจารณา
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่เราไม่มีโอกาสเห็นเวทีสาธารณะและการมีส่วนร่วมของทุกๆ ฝ่าย ที่ถกเถียงกันด้วยข้อมูล หลักฐานที่ตั้งอยู่บนกรอบความคิดเรื่องประโยชน์ต่อส่วนรวม (Net impact) นโยบายรัฐที่ออกมาจะได้งามสง่าและยืนอยู่บนหลักนิติธรรม นิติรัฐ เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่มากกว่ากระแสข่าวซึ่งมาจากคนส่วนน้อยแต่เสียงดังหรือเป็นเพียงเพื่อคะแนนนิยมทางการเมืองระยะสั้นๆ ของบางพรรคมากกว่าการแก้ปัญหาที่ถาวรและยั่งยืน
ครับ!! เรื่อง 3 สารพิษนี้ อย่าเพิ่งด่วนสรุป ว่าจะไปซ้ายหรือขวาก่อนที่จะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนทุกด้าน
เพราะถ้าต่อไป ฝุ่นละอองจากปูนซีเมนต์ หรือไอสนิมเหล็ก เป็นอันตรายต่อสุขภาพชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง นักวิชาการคณะแพทย์ต่อต้านขึ้นป้ายประท้วง เรียกร้องให้ห้ามใช้ตลอดไป ก็นึกไม่ออกว่าจะโกลาหลขนาดไหน
แค่สหภาพยุโรป (อียู) อ้างรายงานด้านวิทยาศาสตร์ว่า น้ำมันปาล์มมีกรดไขมันอิ่มตัวก่อให้เกิดโรคหัวใจ ประกอบกับ เอ็นจีโอมีการรณรงค์ให้ยกเลิกการใช้น้ำมันปาล์ม เพราะอาจจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการบุกรุกทำลายป่า กระทบประเทศในอาเซียนที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ผลผลิตราคาตกต่ำ อย่างกรณีประเทศไทยรัฐบาลต้องจ่ายเงินประกันรายได้ให้ชาวสวนปาล์มจำนวนมหาศาล
ใจเย็นๆ นะครับท่านคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่จะประชุมในวันที่ 22 ตุลาคม นี้ต้องรอบคอบ หรืออาจเลื่อนการประชุมไปก่อน และเมื่อยังไม่มีมติออกมา ก็ยังไม่เข้าเงื่อนไขที่รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบต้องลาออก!!!
ทั้งนี้เพื่อเปิดทางให้ ฝ่ายที่ต่อต้าน 3 สารพิษสามารถเติมข้อมูลความหายนะให้สาธารณชนได้รับรู้มากกว่าเดิม
และเปิดทางให้ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกสารดังกล่าว(เกษตรกรชาวไร่ ชาวนา ชาวสวนปาล์ม สวนยางพาราหรือไร่ยาสูบ มันสำปะหลังที่ออกโรงล่าสุด ก็สามารถเดินหน้าอธิบายข้อเท็จจริงได้เต็มที่ หรือแม้มีการยกเลิก 3 สารพิษจริงแล้วจะมีอะไรมาชดเชย ให้เพื่อให้คนเหล่านั้นประกอบอาชีพทางการเกษตรได้ต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี