การขีดเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญช่วงรัฐบาล คสช.ที่ผ่านมานั้น เรียกได้ว่าเป็นการปฏิรูปโครงสร้างรูปแบบเนื้อหาการเมือง การปกครองของไทยไปตามความคิดทัศนคติ มุมมอง ความประสงค์และความอยาก ความทะเยอทะยาน ของฝ่ายทหารการเมือง และผู้ร่วมอุดมการณ์เผด็จการนี้ เพียงฝ่ายเดียว โดยมีความเชื่อมั่นว่า ทหารต้องอยู่กับการเมืองเท่านั้น ประเทศชาติจึงจะมีความมั่นคงปลอดภัยทั้งชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่ก็มิได้มีการแจกแจง หรือนิยามคำว่าสถาบันที่ว่านั้น
เมื่อวันที่กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผ่านประชามติตามการกำกับการ และตามความปรารถนาของรัฐบาล คสช.ก็เท่ากับว่า สังคมไทยนั้นได้มีการปฏิรูประบบการเมืองการปกครอง ไปเป็นในรูปแบบผสมผสานระหว่างระบอบประชาธิปไตย (การเลือกตั้งผู้แทนราษฎร) กับระบอบเผด็จการ(การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา) ถือเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งใบหรือจะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ คือประชาธิปไตยแบบมีผู้ชี้ทิศทาง (Guided Democracy)
อย่างไรก็ดี ประชามติเมื่อสิงหาคม พ.ศ. 2559 มิได้ผ่านกันอย่าง “ชนะขาด” เพราะฝ่ายเห็นด้วย กับฝ่ายไม่เห็นด้วยมีคะแนนไม่ถือว่าแตกต่างกันมากนัก (เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ 61.35 ไม่เห็นด้วย 38.65 และในประเด็นเพิ่มเติม เห็นด้วย 58.07 ไม่เห็นด้วย 41.93) ทั้งนี้มิรวมและมินับว่า การมีส่วนร่วมในการขีดเขียนร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น ขาดการมีส่วนร่วมเป็นอย่างมาก และฉะนั้น ความถูกต้องชอบธรรมของการได้มาซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 จึงมีความจำกัด มีความบกพร่องอยู่ในตัว ดังที่ทราบกันดีในสังคม
ฝ่ายที่ไม่เห็นชอบกับกฎหมายรัฐธรรมนูญปี’60 ก็มองว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้วางโครงสร้าง และกำหนดบทบาทการเมืองการปกครองประเทศ ไปในทิศทางที่มีความเป็นประชาธิปไตยน้อยลง ถือเป็นการถอยหลังเข้าคลอง จึงจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข เพื่อให้ประชาธิปไตยของไทยสามารถกลับก้าวไปข้างหน้าได้ ซึ่งก็ถือว่ามีสิทธิที่จะคิดเช่นนั้น และยังมีความชอบธรรมที่จะทำการเรียกร้องให้ดำเนินการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ก็พอจัดได้ว่ากลุ่มชนเหล่านี้ เป็นพวกหัวก้าวหน้า (Progressive) เมื่อเทียบกับกลุ่มทหารการเมืองที่เป็นพวกอนุรักษ์นิยม (Conservative) หรือพวกยึดมั่นถือมั่นกับฐานันดรเดิม (Status Quo)
อย่างไรก็ดี ในฝ่ายประสงค์แก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญปี’60 ก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีอุดมการณ์ต่างจากพวกหัวก้าวหน้าดังกล่าวแทรกอยู่
โดยกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง รูปแบบ และเนื้อหาการเมืองการปกครองทั้งหมด (Transformation หรือ fundamental Change) เพราะมีมุมมองว่าด้วยสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แตกต่างไปจากทั้งกลุ่มอนุรักษ์นิยม และกลุ่มหัวก้าวหน้าก็ดี
กลุ่มนี้มีความเห็นต่างในเรื่องความเป็นราชอาณาจักรของรัฐไทย และมีความเห็นต่างในเรื่องความเป็นรัฐเดียวของไทย ส่งผลให้ต้องดำเนินการต่อต้านการผูกขาดของฝ่ายทหารที่แสดงตนในฐานะผู้พิทักษ์สถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ผู้คนกลุ่มนี้ คือพวกอุดมการณ์ตกค้างมาจากพรรคคอมมิวนิสต์ และแนวคิดมารกซ์ - เลนิน - เหมา - เช
โดยพยายามสืบสานถ่ายทอดแนวความคิดมายังอนุชนรุ่นหลังๆ โดยถูกขีดเขียนด้วยนักคิด นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว รุ่นใหม่ ที่ต่างฝังใจกับวลีว่าด้วย Liberty-Equality-Fraternity และเชื่อมั่นในการใช้ความรุนแรง และการเผชิญหน้า เพื่อคว่ำกระดานสังคม
ด้วยเหตุดังกล่าว ทำให้การดำเนินการแก้ไข หรือการยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ (เพื่อการปฏิรูปการเมือง
อย่างแท้จริง) ของไทย ก็เลยมีผู้เล่นอยู่ 3 ฝ่ายคือ
1. ฝ่ายอนุรักษ์นิยม อยู่บนแนวคิดการเมืองแบบทหารนำพา และแรงงานราชการเป็นแกนหลักขับเคลื่อน
2. ฝ่ายหัวก้าวหน้า อยู่บนแนวคิดการเมืองแบบเสรีประชาธิปไตยของการมีส่วนร่วมและการกระจายอำนาจ
3. ฝ่ายเปลี่ยนแปลงสังคม อยู่บนแนวคิดที่ต้องการสังคมที่ปราศจากชนชั้น และการอ้างว่าการดำเนินการใด
ก็กระทำในนามประชาชนผู้เป็นใหญ่ (โดยการกล่าวเอง และเออเอง)
ล่าสุด พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ได้ออกมาแสดงการบรรยายพิเศษ ว่าด้วยเรื่อง “แผ่นดินของเรา ในมุมมองด้านความมั่นคง” ซึ่งตัว ผบ.ทบ. เองก็ถือเป็นผู้แทนของฝ่ายอนุรักษ์นิยมทั้งปวง จึงเรียกได้ว่าเป็นการเปิด “ศึก” กับฝ่ายเปลี่ยนแปลงสังคมโดยปริยาย และปิดทางฝ่ายหัวก้าวหน้าไปด้วย
แต่สังคมไทย จะต้องใช้กำลังเอาชนะกันเช่นนั้นหรือจนบัดนี้ ประชาชนไทยไม่มีใครนิยมชมชอบกับการเผชิญหน้าและเอาแพ้เอาชนะกันให้ถึงที่สุด เพราะต่างได้บทเรียนจากวิกฤติการเมืองที่ทำลายชาติบ้านเมืองไปในตัวหลายครั้งหลายครา และเห็นความหายนะในต่างประเทศ
ฉะนั้น ก็ขอเสนอต่อ พลเอกอภิรัชต์ ว่า หากอยากแก้ไขปัญหากันโดยบ้านเมืองไม่บอบช้ำ ก็น่าจะได้เชิญตัวแทนแนวความคิดทุกหมู่เหล่ามานั่งคุยกันแบบเปิดอก ว่าด้วยเรื่องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในกรอบประชาธิปไตย กันไป เพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน
อย่าลืมว่า ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 มาจนบัดนี้ ต่างฝ่ายก็ต่างอยู่กันคนละอุมการณ์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายกองทัพ ฝ่ายนักวิชาการ ฝ่ายพรรคการเมือง ฝ่ายปัญญาชน ฝ่ายธุรกิจ และสภาอาชีพ และประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งแทบไม่เคยมีโอกาสถกกันเกี่ยวกับรูปแบบ และทัศนคติ ประชาธิปไตยของไทย ว่าจะมีจุดยืนร่วมกันอย่างไร การเมืองประเทศไทยจะได้นับหนึ่งแล้วก้าวไปในทิศทางเดียวกันเสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี