ข่าวการที่สหรัฐอเมริกาประกาศตัด “จีเอสพี” นำมาสู่การใช้เป็นเครื่องมือ “บดขยี้ทางการเมือง” กันอย่างเมามันในเวลานี้ไม่ได้สำคัญว่า ฝ่ายบดขยี้ต้องการอะไร ฉลาดหรือโง่เพียงใด รักประเทศไทยหรือไม่ เพราะมันเป็นแค่เกมการเมืองสามัญ ประสานไปกับ “สันดาน” ของตัวบุคคลด้วย คนสำคัญคือประชาชนทุกคนต่างหาก ที่ต้องมีสติ หาความรู้ ไม่ตกเป็นเหยื่อของการปลุกปั่นนั้น
ดังนั้น เรามาเจริญสติ และไล่เลียงเรื่องนี้กันให้ชัดเจน
1) จีเอสพี คืออะไร? จีเอสพี GSP (Generalized System Preference) คือ สิทธิทางภาษีที่ประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศให้กับประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย โดยไม่ต้องเสียภาษีสินค้านำเข้าบางรายการเมื่อส่งสินค้าไปขายในประเทศผู้ให้สิทธิ เพื่อให้ประเทศที่กำลังพัฒนาสามารถส่งออกสินค้าไปแข่งกับสินค้าจากประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือแข่งกับประเทศที่มีความสามารถในการผลิตสินค้าได้ราคาถูกและมีประสิทธิภาพ
เมื่อสามารถขายสินค้าของตนเองได้จะทำให้เกิดการผลิต การจ้างงาน และทำให้เศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับสิทธิมีความเจริญเติบโต ทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนและมาตรฐานการครองชีพคนงานในประเทศดีขึ้น นอกจากนี้ GSP ยังมีส่วนช่วยผู้ประกอบการของประเทศผู้ให้เองสามารถลดต้นทุนในการผลิตสินค้า เมื่อนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศที่ได้รับสิทธิ GSP เพราะไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าด้วย
การให้สิทธิ GSP นี้ เป็นการให้แบบฝ่ายเดียว(unilateral) คือประเทศที่ให้สิทธิ GSP ไม่ได้เรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนจากประเทศผู้รับ แต่เป็นการให้แบบมีเงื่อนไข คือ ประเทศที่จะได้รับสิทธิ GSP นี้จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ประเทศผู้ให้วางไว้
การให้สิทธิทางภาษี GSP นอกจากจะเป็นการช่วยประเทศต่างๆ ในการแข่งขันและการพัฒนาประเทศแล้ว ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่สหรัฐใช้ในการชักจูงและกดดันประเทศต่างๆ ให้ปรับปรุงกฎระเบียบและพัฒนาแนวทางปฏิบัติทางการค้าและทางสังคมที่เกี่ยวซ้องในระดับที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองสิทธิแรงงานการควบคุมการใช้แรงงานเด็ก รวมถึงลดการกีดกันทางการค้าให้น้อยลงด้วย
2) ครั้งนี้ สหรัฐใช้เงื่อนไขใดในการตัดจีเอสพี? นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรณีสหรัฐตัดจีเอสพีสินค้าไทยไปยังสหรัฐจะทำให้สินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม 4-5 % หรือมีภาระต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น 1,500-1,800 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสหรัฐให้จีเอสพีไทยทั้งหมด 1,800 ล้านดอลลาร์ แต่ที่ผ่านมาไทยไม่ได้ใช้สิทธิเต็มจำนวน โดยใช้สิทธิเพียง 1,300 ล้านดอลลาร์
ส่วนประเด็นที่สหรัฐใช้เป็นเงื่อนไขในการตัดจีเอสพีไทยนั้น คือ เรื่องสิทธิแรงงาน ไม่เกี่ยวกับการที่ไทยแบน 3 สารเกษตร แต่อย่างใด ซึ่งสหรัฐต้องการให้ไทยเปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าว ที่มาทำงานอยู่ในประเทศไทยสามารถตั้งสหพันธ์แรงงาน ถือเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญ ส่วนประเด็นอื่นนั้นขอให้ทางกระทรวงแรงงานเป็นผู้ให้ข้อเท็จจริง
นายจุรินทร์กล่าวว่า อย่างไรก็ตามไทยสามารถที่จะอุทธรณ์ หรือขอให้สหรัฐทบทวนการตัดจีเอสพีได้ ซึ่งหลายครั้งไทยก็ได้ยื่นเรื่องขอทบทวน เช่น ปี 2561 สหรัฐทบทวนรายการสินค้าคืนมาให้ 7 รายการ และครั้งนี้ก็เช่นกันก็จะมีการยื่นทบทวน แต่อำนาจการคืนสิทธิจีเอสพีเป็นอำนาจของสหรัฐ เพราะสิทธิจีเอสพีเป็นสิทธิ์ที่ให้ฝ่ายเดียวที่จะให้หรือไม่ให้ประเทศใดก็ตาม หากทบทวนแล้วไม่ได้สินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐก็ต้องเสียภาษีตามที่กำหนด
3) ตัดจีเอสพีแล้วกระทบไทยมากไหม? นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรณีที่สหรัฐฯ มีประกาศจะตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรทางการค้า หรือจีเอสพี (GSP) ที่เคยให้ไทยบางรายการนั้นจะทำให้ การส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบคิดเป็นประมาณ 0.01% ของการส่งออกรวมของไทยเฉลี่ยรายปี แต่จะมีสินค้าบางรายการที่ใช้สิทธิมากที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่ารายการอื่น โดยสหรัฐฯ ประกาศตัดสิทธิจีเอสพี 573 รายการหรือคิดเป็น 40% จากจำนวนสินค้าที่ไทยใช้สิทธิในปี’61 จำนวนรวม 1,485 รายการ และมีการคืนสิทธิให้ไทย 7 รายการ
สนค.ประเมินว่า การถูกตัดสิทธิจีเอสพี ทำให้ต้นทุนส่งออกไทยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 50.33 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากสินค้าไทยกลุ่มนี้จะถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 4.5% แต่เป็นการกระทบการส่งออกของไทยในวงจำกัด ซึ่งทำให้ มูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯสำหรับสินค้ากลุ่มที่โดนตัดสิทธิในปี’63 ลดลงมูลค่า 28.8 – 32.8 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.01% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทย
4) ไทยจะแก้ไขอย่างไร? นายกีรติ รัชโน ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ จะเร่งเจรจากับสหรัฐฯเพื่อขอคืนสิทธิโดยเร็วที่สุด ซึ่งไทยจะไม่ใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าแน่นอน
คาดว่า จะหารือกับสหรัฐฯในระหว่างการประชุมอาเซียนซัมมิต ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนพ.ย.นี้ เพราะสหรัฐฯจะเดินทางมาเข้าร่วมประชุมอาเซียนในฐานะคู่เจรจาด้วย รวมทั้งจะเจรจาภายใต้กรอบความตกลงการค้าและการลงทุนไทย-สหรัฐฯ (ทิฟา) ด้วย
“หลังประชุมอาเซียนซัมมิต อาจพอมีเวทีคุยกันได้เบื้องต้น โดยสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ประจำกรุงวอชิงตันดี.ซี. แจ้งมาแล้วว่าจะให้เราจัดคณะไปคุยกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) ก็ได้ หรือจะให้เขามาคุยที่ไทยก็ได้ ซึ่งการเจรจาจะทำความเข้าใจให้ดีที่สุด เพราะมีหลายมิติที่ต้องดู ไม่ใช่เรื่องการค้าอย่างเดียว แต่มีประเด็นแรงงานด้วย”
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่าการให้สิทธิจีเอสพีเป็นการให้เพียงฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ ที่ให้กับประเทศกำลังพัฒนา ที่เข้าตามเงื่อนไขที่สหรัฐฯกำหนด และมีหลักในการทบทวนการให้สิทธิอยู่แล้ว เช่น ระดับการพัฒนาประเทศ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองสิทธิแรงงาน
ที่ผ่านมา สหรัฐฯมีทั้งตัดสิทธิและคืนสิทธิสินค้าให้ไทยมาอย่างต่อเนื่อง อย่างในปี 2561 ได้ตัดสิทธิสินค้าไทย และปี2562 ก็เพิ่งจะคืนสิทธิให้ 7 รายการ ได้แก่ เลนส์แว่นตา,เห็ดทรัฟเฟิล, กล้วยไม้, ปลาดาบ, หนังดิบ, โกโก้และเครื่องดื่มช็อกโกแลต และเครื่องประกอบแรงดันไฟฟ้า
สำหรับการตัดสิทธิสินค้าไทยครั้งนี้รวม 573 รายการนั้นไทยจะสูญเสียมูลค่าการได้รับสิทธิไปทั้งหมด 40,000ล้านบาท เพราะต้องเสียภาษีนำเข้าอัตราปกติ (MFN Rate)เฉลี่ย 4.5% คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 1,800 ล้านบาท จากเดิมที่ไม่เสียภาษีเลย โดยกลุ่มสินค้าที่ถูกเก็บอัตราภาษีสูงสุด คือเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร และเครื่องครัวเซรามิก ที่ 26% ส่วนสินค้าที่ถูกเรียกเก็บอัตราภาษีต่ำสุด คือ เคมีภัณฑ์ ที่ 0.1%
นายกีรติกล่าวว่า การตัดจีเอสพีไทยครั้งนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ไทยประกาศห้ามใช้สารเคมีอันตราย 3 ชนิด เพราะสหรัฐฯได้ส่งสัญญาณมาระยะหนึ่งแล้วว่าจะประกาศการตัดสิทธิไทยในช่วงปลายเดือนต.ค. หรือต้นเดือนพ.ย.นี้
ที่ผ่านมากรมหารือกับภาคเอกชนให้เตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่อง โดยแนะนำให้หาตลาดใหม่รองรับ พร้อมกับต้องปรับกลยุทธ์ในการแข่งขัน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ซึ่งเชื่อว่า ผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวได้ เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสหภาพยุโรป (อียู) และญี่ปุ่น ก็ตัดสิทธิจีเอสพีไทยมาแล้ว และผู้ส่งออกไทยก็หาตลาดอื่นรองรับได้
ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) ปี’62 ไทยใช้สิทธิจีเอสพีส่งออกสินค้าไปสหรัฐ 3,234.38 ล้านดอลลาร์คิดเป็นการใช้สิทธิ 66.68% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่สหรัฐให้สิทธิไทย ขณะที่ช่วงเดียวกันของปี’61 มีมูลค่าการใช้สิทธิ 2,858.82 ล้านดอลลาร์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตัดจีเอสพีครั้งนี้ เป็นเรื่องของสิทธิแรงงานเพียงอย่างเดียว ซึ่งที่ผ่านมา ในช่วงที่ไทยแก้กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ ยูเอสทีอาร์ได้พยายามกดดันให้ไทยแก้ไขกฎหมายตามประเด็นที่สหรัฐฯเรียกร้อง 7 ข้อ แต่ไทยดำเนินการตามได้ 5 ข้อ ส่วนที่ 2 ข้อ เช่น ขอให้แรงงานต่างด้าวในไทยตั้งสหภาพแรงงานนั้น ไทยไม่สามารถดำเนินการให้ได้ เพราะหากมีการประท้วง จะส่งผลกระทบต่อนายจ้าง และเศรษฐกิจของไทย โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้ชี้แจงให้ยูเอสทีอาร์ทราบอย่างต่อเนื่องว่า ไทยดำเนินการไม่ได้ เพราะสหรัฐฯเองก็ยังดำเนินการไม่ได้เช่นกัน แล้วเหตุใดจึงกดดันไทยเพื่อแลกกับการให้จีเอสพี
นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมามีทูตพาณิชย์ของสหรัฐมาพบสรท.เพื่อสอบถามว่าทำไมไทยไม่ลงนามรับอนุสัญญามาตรฐานองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)ดังกล่าว ซึ่งทางสรท.ได้ย้อนถามไปว่าแม้แต่สหรัฐก็ยังไม่ลงนามอนุสัญญาดังกล่าวเลย ทำไมจึงต้องการให้ไทยลงนาม ซึ่งทางทูตพาณิชย์สหรัฐก็ระบุว่าแม้สหรัฐไม่ลงนามรับอนุสัญญาข้อนี้แต่กฎหมายแรงงานก็รองรับสิทธิแรงงานต่างด้าวอยู่แล้ว
ในส่วนของไทยเองก็มีกฎหมายแรงงานรองรับสิทธิแรงงานต่างด้าวอยู่แล้ว ที่ผ่านมาไทยก็ดำเนินการตามข้อกำหนดของนานาชาติจนได้รับการปรับสถานภาพจากเทียร์ 3 เป็นเทียร์ 2 ซึ่งถือว่าดีที่สุดแล้วในระดับของประเทศที่กำลังพัฒนา
ขณะที่ปัญหาประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู) ก็ถูกปรับจากแดงเป็นเขียวแล้วถือว่าไทยทำได้ดีที่สุดและทำให้เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ มองว่านายจ้างก็ต้องได้รับการปกป้องสิทธิด้วยเช่นกัน เพราะในสหรัฐก็มีกฎหมายที่ห้ามแรงงานหยุดงานประท้วงสร้างความเสียหายต่อธุรกิจและเศรษฐกิจประเทศ และหากฝ่าฝืนก็มีความผิดทางกฎหมาย
“ยืนยันว่าสิ่งที่ไทยทำอยู่ขณะนี้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจและสังคมไทยแล้ว เพราะไทยมองว่าเราปฏิบัติเหมือนกันทั้งแรงงานไทยและต่างด้าว จึงเห็นว่าไม่ควรแยกเฉพาะกลุ่ม ซึ่งแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในไทยก็ต้องเคารพกฎหมายไทย”
ด้าน ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า “บอกว่าเราคงไม่สามารถไปยกเอากฎหมายสากล มาแปลใช้ได้เลย ต้องมีกฎหมายที่สอดคล้องกับบริบทของไทย ทั้งสภาพเศรษฐกิจ นายจ้าง และสภาพของคนไทยเอง แน่นอนว่าแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย เราก็ได้ให้สิทธิต่างๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ต้องไม่ได้มากไปกว่าคนไทยเอง
“ที่เขาขอมา เกือบจะเป็นอย่างนั้น คนต่างด้าวที่อยู่เมืองไทยจะได้สิทธิมากกว่าคนไทย ผมคิดว่าคงเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เช่น ที่เรียกร้องคือ การตั้งสหภาพแรงงานแบบรวมอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีการรวมตัวกันเป็นล้านคน มีอำนาจการต่อรองสูง แต่อนุโลมให้เป็นการรวมกลุ่มในแต่ละสถานประกอบการ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า ควบคุมได้ง่ายกว่า ผมเชื่อว่า ไม่มีประเทศไหนที่ยกเอามาตรฐานสากลมาแปลใช้กับแรงงานในประเทศของคนเองหมดเลย ต่างก็ออกกฎหมายที่เหมาะสมกับสภาพสังคม ประเทศของตัวเองทั้งนั้น” รมว.แรงงาน กล่าว
จากนี้ก็ให้นำความชัดเจนแจ่มแจ้งนี้ ไปส่องดู “สันดาน” และ “ปัญญา” ของพวกที่เอาเรื่องจีเอสพีนี้มาปลุกปั่นบั่นทอนรัฐบาลไทยและประเทศไทยในเวลานี้กัน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี