คำถามที่สำคัญที่สังคมควรถามนักการเมือง นักบริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะ ก็คือ ในการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะในภาพกว้าง ทั้งเศรษฐกิจ-การเมือง และสังคม ท่านจะเลือกกระทำสิ่งใดก่อน หรือให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
สำหรับรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับการขยายตัวของ “ผลิตภัณฑ์มวลรวม” เป็นอันดับหนึ่ง และแม้แต่ชุดนี้ก็เช่นกัน ได้วางตัวรัฐมนตรีสายเศรษฐกิจเป็นกองหน้า หรือหน่วยจู่โจม ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจของประชาชน เพราะ “ปาก-ท้อง” คือมันสมองที่จะชี้นำความประพฤติของมนุษย์ หรือความเป็นความตายของประเทศ
อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลได้วางแผนระยะใกล้(และไกล) ไว้ที่ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ ก็ใคร่จะหยิบประเด็นเรื่องแผนระยะไกล มีอะไรเป็นเป้าหมายสำคัญที่นอกจากจะปรับโลกอันสวยสดใบนี้ให้กลายเป็นโลกAI (ปัญญาประดิษฐ์ - และมนุษย์หุ่นยนต์ ฯลฯ) และลืมโลกที่มีความเป็นมนุษย์ โลกที่ผู้คนเคารพต่อกติกาของบ้านเมือง และเป็นสุภาพบุรุษในการต่อสู้ทางการเมือง
เราจะจัดการศึกษาอย่างไร ให้คนรุ่นใหม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมือง เข้าใจประวัติศาสตร์ของประเทศมีความรอบรู้เกี่ยวกับปรัชญาทางการเมือง (ความคิดทางการเมือง)ที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต (วิถีการเมือง) ของเราในอดีตและปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อยกระดับมาตรฐานของ “ความเป็นพลเมือง” ให้สูงขึ้น
เมื่อมาตรฐานความเป็นพลเมืองสูงขึ้น หรือในศัพท์ของแขนงวิชารัฐศาสตร์ที่เรียกว่า “Political Literacy” (ความรู้ขั้นพื้นฐานทางการเมืองสูงขึ้น) การเมืองและการพัฒนาเศรษฐกิจก็จะยกระดับตนเองให้สูงขึ้นเกือบจะโดยอัตโนมัติ
สมัยที่คุณอภิสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีได้ริเริ่มโครงการสำคัญที่เรียกคร่าวๆ ว่า การสร้างพลเมืองให้เป็นประชาธิปไตย (หรืออะไรทำนองนั้น) แต่เมื่อหมดสมัยรัฐบาลอื่นๆ ภายหลังก็ดูเหมือนจะเก็บเข้าตู้? และไม่ได้ยินอีกเลยจนปัจจุบัน กระทรวงศึกษาธิการ ก็ได้รัฐมนตรีต่างๆและคงจะไม่ไว้วางใจ คำว่าประชาธิปไตยในสถานศึกษาฉะนั้น ก็คงจะต้องเผชิญกับชะตากรรมแบบเดิมๆ เหมือนช่วงระยะ ٨٧ ปีที่ผ่านมา คือ มีรัฐประหารทุกๆ ทศวรรษ (หรือโดยประมาณ) หรือคิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญดังพรรคฝ่ายค้านหลายๆ พรรคกำลังดำเนินการ ผู้เขียนกล้าเดิมพันได้เลยจะแก้อีกกี่ครั้ง ก็จะมีวิกฤติการเมือง ซึ่งจะต้องนำไปสู่การรัฐประหารในที่สุด อย่าได้โทษผู้อื่นเลย โทษตัวตนของเรานั่นแหละที่คิดไม่รอบคอบ และไม่รอบรู้ประวัติศาสตร์ของการพัฒนา
แม้สมัยเริ่มแรก เมื่อเกิดการปฏิวัติ พ.ศ. ٢٤٧٥ รัฐบาลของคณะราษฎรก็ได้กำหนดเงื่อนไขเรื่องการจัดการศึกษาภาคบังคับ (٤ ปี)ที่รัฐบาลจะต้องขยายให้ครอบคลุมทั่วทุกตำบล เพื่อเป็นเงื่อนไขในการปรับระบบการเลือกตั้ง (จากระบบผู้แทนประเภท ٢ ที่แต่งตั้ง มาเป็นประเภทเลือกตั้ง)
ปัจจุบันเรามีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แตกต่างจากหลายประเทศแต่เราจะสอนให้นักเรียนเข้าใจโดยถ่องแท้ว่าระบบนี้แตกต่างจากระบบประธานาธิบดีอย่างไร? และทำไมเราจึงมีระบบนี้นอกจากนั้น เราศึกษาประวัติศาสตร์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ดีเพียงพอแล้วหรือ? อัจฉริยภาพของพระมหากษัตริย์ทุกๆ พระองค์เป็นเช่นไร? และทำไมเราจึงไม่สามารถสร้างผู้นำทางการเมืองได้โดดเด่น มีคุณสมบัติและความสามารถดังปรารถนาทำไมเราจึงสร้างพรรคการเมืองให้เข้มแข็งไม่ได้? ทำไมเราจึงไม่สามารถขจัดระบบคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะระดับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่? และเราจะสร้างผู้นำที่ดีทั้งในวงราชการและการเมืองได้อย่างไร? ประเด็นเหล่านี้ ต้องนำมาเป็นโจทย์ให้เยาวชนได้คิด แม้จะได้คำตอบกระท่อนกระแท่น แต่ต้องตั้งโจทย์ให้ท้าทายเยาวชนรุ่นใหม่ จะต้องสร้างอุปนิสัย/ความสนใจ เกี่ยวกับกิจการบ้านเมือง ต้องส่งเสริมให้เยาวชนได้อ่านให้กว้างขวาง และปัจจุบัน เยาวชนจะเข้าถึงข้อมูล ข้อเขียนจากแหล่งต่างๆ ได้ง่ายกว่าสมัย ٣٠ ปีที่แล้ว
กล่าวให้แคบลงมา หากจะต้องออกแบบหลักสูตร “พลเมืองศึกษา” สำหรับ ม.ต้น หรือ ม.ปลาย วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้การเรียนการสอนวิชานี้ง่ายขึ้น คือ จะต้องเริ่มต้นจากง่ายไปหายาก เริ่มจาก “Building Blocks” คือ พิจารณา“อิฐแต่ละก้อน” ที่จะใช้เป็นฐานรากของอาคาร ที่เรียกว่า“รัฐธรรมนูญ” รัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเข้าใจยากสำหรับนักเรียนทั้ง ม.ต้น-ม.ปลาย ควรกันไว้ตอน ม.ปลาย แต่ควรปูพื้นด้วยแนวคิดพื้นฐานที่เป็นองค์ประกอบ ซึ่งเรียกว่า “ฐานราก” ซึ่งในความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ ชื่อเบอร์นาร์ด คริก (Bernard Crick) น่าจะประกอบด้วยแนวคิดพื้นฐาน (Concepts) ١٢ ประการ เช่น แนวคิดเกี่ยวกับ“อำนาจ” (Power), พลังอำนาจ (Force), อำนาจหน้าที่ (Authority)
อำนาจหน้าที่ (Authority) เป็นอำนาจที่ชอบธรรม ส่วนอำนาจ (Power) และพลังอำนาจ (Force) เป็นอำนาจที่ไม่ชอบธรรม ประเด็นคือ (ดังที่นักปรัชญาเมธี-ฌัง ฌากค์รุสโซ ได้กล่าวไว้) จะเปลี่ยนอำนาจที่ไม่ชอบธรรม ให้เป็นอำนาจที่ชอบธรรม ได้อย่างไร?
ประเด็นหลักดังกล่าว ให้นักเรียน-นักศึกษา ระดมความคิดเห็น ครู-อาจารย์ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะได้คำตอบหรือไม่และแม้คุณครูจะมีคำตอบ ก็อาจจะมีคำถามตามมาเสมอ
กระบวนการซักถามและระดมความคิดเห็นเช่นนี้ น่าจะส่งเสริมการเรียนการสอนให้น่าสนใจยิ่งขึ้น และจะได้ผลดีกว่าเรียนแบบท่องจำ
ความคิดรวบยอด (Concepts) ดังกล่าว ตามที่เบอร์นาร์ดคริก นำมาเสนอ มีทั้งหมด ١٢ ประการ (ดูหนังสือ วัฒนธรรมพลเมือง, โดย ดร.วิชัย ตันศิริ หน้า ٤٥-٤٩) เช่น “ความยุติธรรม”,“ความเป็นตัวแทน”, “สิทธิธรรมชาติของมนุษย์” เป็นต้น
“ความเป็นตัวแทน” นั้น น่าสนใจ ที่ความหมายไม่ง่ายดังที่คิด เมื่อเราเป็นตัวแทน หรือ “ผู้แทนราษฎร” ความหมายจริงๆ คืออย่างไร? เราเป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งที่เลือกเราเช่นนั้นหรือ? นักปรัชญาบางท่านให้ความเห็นว่า เรามิใช่เป็นตัวแทนของเขตที่เลือกเราเท่านั้น แต่เราเป็นตัวแทนของผลประโยชน์ทั้งปวงของประเทศด้วยเช่นกัน
คำถามเช่นนี้ จริงๆ แล้วหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ แต่หยิบยกขึ้นมาให้นักศึกษาได้คิดไตร่ตรอง แม้แต่คำว่าอำนาจที่ชอบธรรมอาจเถียงกันไม่จบว่าหมายถึงอะไร? แต่คำถามเช่นนี้อาจนำไปสู่การถกเถียงข้ามศตวรรษ จากสมัยโบราณ จนถึงยุคสมัยใหม่
กระบวนการเรียน-การสอน วิชา “ความเป็นพลเมือง” จึงควรเริ่มจากระดับที่ง่าย และเป็นการระดมความคิดของเด็กวัย ١٥-١٦ ปี เมื่อเข้าสู่ ม.ปลาย อายุ١٧١٨ ปี จึงเริ่มเรียนเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นนามธรรมและแห้งแล้ง จึงต้องมีกลวิธีเช่นกัน
รัฐธรรมนูญไทยฉบับปัจจุบัน มีจำนวนมาตรานับเป็นจำนวนร้อย คงเขียนขึ้นโดยไม่ปรารถนาจะให้ใครจดจำ ท่องบ่นได้ผิดหลักพื้นฐานของความเป็นพลเมืองที่ควรจะจำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้ทุกๆ มาตรา รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มีไม่กี่มาตรา ของอังกฤษ ส่วนหนึ่งเรียกว่า “Unwritten” - คือ ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่เป็นขนบธรรมเนียมตามที่ยอมรับมาทุกยุคทุกสมัย คนอังกฤษ คนอเมริกัน จึงถือว่า รัฐธรรมนูญนั้น ต้องศักดิ์สิทธิ์ และทุกคนต้องจำได้ทุกๆ ข้อแต่นักกฎหมายไทยอาจคิดอะไรแปลกๆ หรืออาจเขียนเพื่อไม่ให้ง่ายต่อการท่องจำจึงจะดูศักดิ์สิทธิ์ โรงเรียนคงสอนให้นักเรียนจำไม่ได้ทุกมาตรา
ฉะนั้น ทางออกก็คือ ครู-อาจารย์คงต้องสอนหลักพื้นฐานของรัฐธรรมนูญไทย ขอบเขตของอำนาจทั้งสาม (นิติบัญญัติบริหารและตุลาการ) หลักการใช้อำนาจ ระบบประชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อำนาจอิสระของตุลาการ
เรื่องของการสร้างรัฐธรรมนูญในจิตใจของเยาวชน ยังจะมีรายละเอียดและสาระที่ควรรู้อีกหลายประการ และที่หยิบยกขึ้นมาวันนี้ เพื่อเตือนใจท่านผู้นำกระทรวงศึกษาฯ และอุดมศึกษาฯ ได้ให้ความสนใจในประเด็นนี้ ก่อนที่วันเวลาของท่านจะหมดไปกับสัพเพเหระ และการสาละวนอยู่กับปัญหาโครงสร้างของกระทรวง ซึ่งหากจะปรับเปลี่ยน ก็ควรยึดทางสายกลาง ผสมผสานระหว่าง เก่า กับ ใหม่ แต่ผลงานที่จะเป็นสาระและยกระดับคุณภาพของการเรียนการสอน คือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในห้องเรียน ท่านจึงควรสนใจตัวครูและการฝึกอบรมครูให้เป็นไปตามอุดมการณ์ของสังคมไทย ที่ต้องการเป็นชนชาติชั้นนำทั้งทางเศรษฐกิจสังคม และการเมือง หากการเมืองล้าหลัง ท่านจะมองหน้าเพื่อนบ้านในอาเซียนของท่านได้อย่างไร? เราเริ่มต้นอาเซียนจากการเป็นผู้นำ (หัวแถว) แล้วจะลดระดับไปอยู่ปลายแถวในฐานะประเทศที่มีการรัฐประหารบ่อยที่สุด กระนั้นหรือ?
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี