มีการถกเถียงกันมาค่อนข้างจะรุนแรงระยะหนึ่งเกี่ยวกับปัญหาว่าจะยกเลิกการเกณฑ์ทหารหรือไม่ ซึ่งความจริงเป็นเรื่องของการพูดกันไม่หมด และยังผสมด้วยการบิดเบือนเรื่องราวอีกด้วย เพราะแท้จริงแล้วเท่าที่ประมวลข้อถกเถียงทั้งหลายนั้นไม่ใช่เรื่องการยกเลิกเกณฑ์ทหารแต่ประการใดเลย
แต่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนวิธีในการจัดหากำลังทหารใหม่ในการเข้ามาทำหน้าที่เป็นกำลังให้กับกองทัพเพื่อเตรียมความพร้อมในการทำหน้าที่พิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตย ความมั่นคงของประเทศ สถาบันพระมหากษัตริย์ และรับใช้ประชาชน
ในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้เสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารต่อสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ซึ่งเป็นดังที่ว่าคือมิใช่เรื่องยกเลิกการเกณฑ์ทหาร แต่เป็นเพียงเรื่องการเปลี่ยนวิธีในการได้มาซึ่งกำลังทหารในการทำหน้าที่สำคัญให้กับบ้านเมือง
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่จะทำความเข้าใจในเรื่องนี้กันให้ชัดเจนสักครั้งหนึ่ง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมืองที่จำเป็นต้องมีอยู่และต้องเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับยุคสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติภารกิจของกองทัพให้สอดคล้องกับสถานการณ์อันเป็นไปในปัจจุบันนี้
ประการแรก ก็ต้องเข้าใจว่านับตั้งแต่มีราชอาณาจักรไทยเป็นต้นมา ตั้งแต่ยุคสุโขทัยเป็นต้นมานั้น ได้ใช้ระบบการเกณฑ์ทหารโดยกำหนดให้ชายไทยทุกคนเป็นทหาร และต้องเข้ารับการฝึกเพื่อการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจตามช่วงเวลาที่ทางราชการกำหนด ครั้นยามเป็นศึกสงครามก็ต้องเข้าปฏิบัติหน้าที่เป็นทหารตามที่ทางราชการกำหนด
ครั้นยามว่างศึกก็มีการกำหนดให้ชายไทยต้องเข้ารับการฝึกทหารเพื่อเตรียมความพร้อมไว้ตามจำนวนที่กำหนดในแต่ละปีตามความจำเป็นของสถานการณ์ แต่เพราะไม่ใช่ยามศึกสงคราม ดังนั้นจึงอนุญาตให้ผู้ที่อยู่ในข่ายที่จะต้องเข้ารับการฝึกสามารถจ่ายเงินแทนการฝึกได้ เพื่อให้ทางราชการนำเงินนี้ไปว่าจ้างคนอื่นซึ่งยังไม่ถึงกำหนดการเข้าฝึกมาเข้ารับการฝึกแทน
จึงเป็นอันว่าผู้ที่ยังไม่ถึงกำหนดรับการฝึกก็ได้สิทธิ์ว่าได้ฝึกแล้ว และทางราชการก็ได้เงินค่าตอบแทนเป็นรายได้แผ่นดินด้วย
ประการที่สอง ครั้นบ้านเมืองมีการพัฒนาขึ้น มีการปฏิรูปกองทัพครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างกองทัพแบบสมัยใหม่ และก่อรูปร่างกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ขึ้นเป็นครั้งแรก และทรงโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการเป็นพระองค์แรก
โดยเรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Commander in Chief ซึ่งถ้าหากแปลเป็นภาษาปัจจุบันก็คือตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกนั่นเอง
หลังจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์แรกสิ้นพระชนม์ ก็ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธสยามมกุฎราชกุมาร ทรงดำรงตำแหน่งดังกล่าวนับเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์ที่สองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่ดำรงตำแหน่งนี้
หลังจากนั้นก็ว่างเว้นมาเป็นเวลานานจนถึงรัชกาลที่ 9 ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ดำรงตำแหน่งนี้ นับเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์ที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าว
ต่อเนื่องมาจากการปรับปรุงกองทัพให้เป็นแบบสมัยใหม่โดยลำดับมา จึงได้มีการตรากฎหมายว่าด้วยการเกณฑ์ทหารขึ้นเพื่อให้ชายไทยได้มีโอกาสรับใช้ชาติเป็นทหาร และกำหนดให้มีการเกณฑ์ทหารใหม่ตามจำนวนที่ทางราชการกำหนดในแต่ละปี
ต่อมาก็มีการฝึกกำลังสำรองโดยมีการจัดตั้งกรมการรักษาดินแดนขึ้น ให้มีการฝึกรักษาดินแดนจากเยาวชน โดยให้สิทธิ์ว่าถ้ามีการฝึกครบ 5 ปี ก็เป็นอันได้รับยกเว้นไม่ต้องเกณฑ์ทหารอีกต่อไป
บรรดาผู้ที่ผ่านการเกณฑ์ทหารแล้วก็ดี หรือผู้ที่เรียน ร.ด. ก็ดี อาจถูกเรียกเข้ารับการฝึกตามที่ทางราชการกำหนด เพราะยังคงยึดหลักเดิมว่าชายไทยทุกคนต้องเป็นทหาร
จึงทำให้ความเป็นทหารนั้นมีสี่ประเภท คือ ทหารประจำการ ทหารกองเกิน ทหารกองหนุน และทหารผ่านศึก ซึ่งทั้งหมดนี้หากมีสถานการณ์จำเป็น ทางราชการก็สามารถเกณฑ์เข้าปฏิบัติหน้าที่ทหารได้
ประการที่สาม เพราะเหตุที่การเกณฑ์ทหารนั้นมีลักษณะบังคับและมีกรณีมากหลายที่ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์เศรษฐกิจและสังคม เช่น บางครอบครัวมีบุตรคนเดียว เป็นกำลังของครอบครัวในการทำมาหากิน ครั้นถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารครอบครัวก็ประสบชะตากรรมยากลำบาก
หรือแม้บางกรณีอันเป็นเหตุส่วนตัว เช่น เพิ่งแต่งงานใหม่ๆ ภรรยากำลังตั้งครรภ์ ครั้นถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารก็เกิดปัญหาครอบครัวขึ้น และหลายกรณีก็ประสบชะตากรรมที่ไม่คาดคิด ดังเช่นกรณีเรื่องราวของแม่นาคพระโขนง เป็นต้น
และเพราะเหตุการเกณฑ์ทหารนั้นจึงเกิดค่านิยม ที่คนพอมีฐานะ มีการศึกษาจะหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับการเกณฑ์ทหาร ก่อให้เกิดการทุจริต และในที่สุดกำลังพลที่ได้จากการเกณฑ์ก็ด้อยคุณภาพ และเพราะความด้อยคุณภาพนั้นจึงเป็นโอกาสที่จะถูกเอาเปรียบข่มเหง เช่น ถูกใช้ให้ไปปฏิบัติหน้าที่อื่นที่ไม่ใช่หน้าที่อันเป็นวัตถุประสงค์ในการเกณฑ์ทหารนั้นเลย
และบัดนี้บรรดาประเทศทั้งหลายในโลกจำนวนมากก็ได้ปรับเปลี่ยนวิธีจากการเกณฑ์ทหารมาเป็นการรับสมัครโดยสมัครใจ และเมื่อเป็นการรับสมัครก็มีการปรับปรุงค่าตอบแทนและสวัสดิการที่ดีและสูงขึ้น เป็นเหตุจูงใจให้มีผู้สมัครเป็นทหารเกินกว่าความต้องการ
บัดนี้มีการเสนอร่างกฎหมายเปลี่ยนวิธีการเกณฑ์ทหารแล้ว โดยให้เปลี่ยนมาเป็นการรับสมัครด้วยความสมัครใจแทนการบังคับซึ่งจะสอดคล้องกับความเป็นไปในโลก และข้อสำคัญก็คือห้ามมิให้นำทหารใหม่ไปใช้ในการอย่างอื่น ดังเช่น ไปซักเสื้อผ้าให้ภรรยานายทหาร เป็นต้น แต่ทั้งนี้ถ้าหากมีความจำเป็นทางราชการก็ยังคงมีอำนาจที่จะเกณฑ์หรือระดมกำลังอยู่นั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี