ที่ผ่านมา เมื่อพูดถึงการรับใช้บ้านเมือง เราก็มันจะคิดถึงเรื่องการเข้ารับการเกณฑ์ทหารเป็นหลัก ทั้งๆ ที่การตั้งใจศึกษาเล่าเรียนในห้องเรียน ก็ถือเป็นการเตรียมตัวรับใช้บ้านเมืองที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการเสาะหาวิชา องค์ความรู้ เพื่อไปประกอบอาชีพซึ่งเป็นการทำหน้าที่ร่วมพัฒนาประเทศ และนำเอารายได้ไปช่วยกันเสียภาษีทั้งทางตรง (ภาษีรายได้) และภาษีทางอ้อม (ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT)
นอกจากนั้น ก็ยังมีการเรียนรู้นอกห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็น กิจการลูกเสือ และเนตรนารี งานกิจกรรมอาสาสมัครนิสิตนักศึกษา การร่วมช่วยเหลือชุมชนและกลุ่มคนด้อยโอกาสต่างๆ การเกณฑ์ทหารก็เป็นการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการร่วมป้องกันรักษาชาติในยามศึก
อย่างไรก็ตาม การเกณฑ์ทหารของไทยนั้นจำกัดเฉพาะเพศชาย ไม่รวมเพศหญิง ต่างจากอิสราเอล หรือสวิตเซอร์แลนด์ ที่ทุกคนจะต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารไปรับใช้ชาติบ้านเมือง แม้ในยามสงบก็ตาม
บัดนี้ได้มีประเด็นถกเถียงโต้แย้งกันในสังคมไทย เริ่มต้นจากแวดวงพรรคการเมือง โดยเฉพาะช่วงการรณรงค์หาเสียง จวบจนกระทั่งมีการจัดตั้งคณะรัฐบาลและคณะฝ่ายค้านแล้ว ก็ยังถกเถียงกันไม่เลิก
บรรดากลุ่มฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่มุ่งผลักดันในเรื่องการยุติ ยกเลิก การเกณฑ์ทหารอยู่อย่างแข็งขัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ให้มาว่า การเกณฑ์ทหารนั้นไม่จำเป็นในสภาวการณ์โลกในปัจจุบัน เป็นการเสียเงินเสียทองและเสียเวลาโดยใช่เหตุ หรืออาจจะเพราะความขัดแย้งกับฝ่ายกองทัพที่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อค้ำบัลลังก์ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งจะเป็นด้วยเหตุอันใดก็ตาม สังคมไทยก็ควรจะถกเถียงกันได้เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อยุติ ด้วยสันติวิธี ด้วยเหตุด้วยผลเท่านั้น
ในความคิดเห็นส่วนตัวของผมนั้นเห็นว่า เรื่องการรับใช้ชาติ จะมุ่งสนใจเพียงการเกณฑ์ทหาร หรือไม่เกณฑ์ทหารเพียงเรื่องเดียว คงจะดูแคบไป
คำถามที่สังคมควรจะถาม-ตอบ กันมากกว่าก็คือประเทศไทยเราจะสามารถเตรียมคนหนุ่มคนสาวให้มีความพร้อมนอกเหนือจากการมีการศึกษา มีอาชีพทำงานทำการหนึ่งใดหรือไม่ หรือนัยหนึ่งสังคมไทยเราควรมีการตระเตรียมบุคลากรหนุ่มสาว พลังหลักของชาติให้มีความพร้อมในการช่วยทำนุบำรุง ปกป้องคุ้มครอง และพัฒนาในเรื่องที่เกี่ยวกับส่วนรวมกันได้อย่างไร หรือคนหนุ่มคนสาวควรจะมีทักษะเพื่อช่วยเหลือสังคมนอกเหนือจากการดูแลตนเองได้หรือไม่อย่างไร
ซึ่งก่อนจะตอบว่า ควรไม่ควร ก็อยากจะขอทบทวนบริบทของสังคมไทย ที่คงไม่ต่างจากสังคมอื่นๆ ทั่วโลกคือ ความต้องการแรงงานอาสาสมัครไปช่วยพัฒนา เช่น งานสาธารณูปโภค ขุดคลอง ถางหญ้า ทำความสะอาดท่อน้ำ งานอัคคีภัย งานกู้ภัยอุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นต้น หรือไม่ก็งานดูแลเยาวชนประเภทต่างๆ ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และคนชรา แล้วก็งานกิจการพลเรือนต่างๆ ของฝ่ายกองทัพ ไปจนถึงงานช่วยรักษาความปลอดภัย งานช่วยส่งกำลังบำรุง เป็นต้น
งานต่างๆ เหล่านี้ล้วนต้องมีการฝึกอบรมทั้งความรู้และทักษะ และโลก ณ วันนี้ต้องมีบุคลากรใช้เครื่องมือเครื่องใช้เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่เป็นตัวช่วยทำงาน ซึ่งคนวัยหนุ่มสาวดูจะเข้าถึงได้ง่าย และมีความถนัดได้คล่องแคล่ว รวดเร็ว
เมื่อสังคมต้องการพลังกาย พลังใจ องค์ความรู้ และทักษะของคนหนุ่มสาว และในขณะเดียวกันฝ่ายคนหนุ่มสาวก็จะได้สัมผัสความหลากหลายของชีวิตและประเด็นปัญหา และความท้าทายต่างๆ ก็เท่ากับเป็นการฝึกฝนตนเองให้คิดถึงผู้อื่น มิใช่อยู่กับตัวเองเท่านั้น
ในบริบทดังกล่าวแล้ว การเกณฑ์ทหารควรเปลี่ยนรูปโฉมเป็นการเตรียมคนหนุ่มคนสาว และการใช้ประโยชน์คนหนุ่มคนสาวเพื่อสังคม
คนหนุ่ม คนใดอยากไปเป็นทหารเกณฑ์ก็ไปรับการเกณฑ์
คนสาวๆ หากอยากเป็นผู้ช่วยพยาบาลก็ควรไปรับการฝึกอบรมได้
ทั้งคนหนุ่มคนสาวจะช่วยดูแลผู้คนที่โอกาสน้อยต่างๆ ได้ ฉะนั้น ก็ไปเป็นฝ่ายกาชาดอาสาได้ ไปช่วยพวกมูลนิธิต่างๆ ได้ โดยเฉพาะกู้ภัยต่างๆ ไปช่วยงานบรรเทาทุกข์ของราชการต่างๆ ก็ได้
และถ้าทำได้ และเป็นเรื่องสำคัญคือ เป็น “การเกณฑ์”และเตรียมบุคลากรเพื่อรับใช้ชาติได้ทั้งเพศหญิงและเพศชายไม่มีการเลือกปฏิบัติดังที่ผ่านมาที่ให้มีแต่ทหารเกณฑ์เพศชายเท่านั้น
คนหนุ่มคนสาวควรได้รับการเกณฑ์ไปรับการฝึกและปฏิบัติได้คนละ 3-6 เดือน ในแขนงงานต่างๆ ก็น่าจะเพียงพอ สังคมไทยได้ “พลังเสริม” แถมยังได้บุคลากรที่มีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ ที่จะนำไปใช้ในยามขับขัน ในยามวิกฤติได้อีก
วันนี้ เราควรมาช่วยกันคิดทำในเชิงสร้างสรรค์สำหรับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากคนรุ่นหนุ่มสาว ที่มีพลัง และความมุ่งมั่นอย่างล้นเหลืออย่ามัวแต่เอาชีวิตคนหนุ่มสาวไปเป็นประเด็น เป็นเครื่องเล่นทางการเมือง จนประเทศเสียโอกาสไปเปล่าๆ เลย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี