ดังที่ทราบกันโดยทั่วไป ลินคอล์น คือประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในช่วงของสงครามกลางเมือง ค.ศ. 1861-1865 เป็นผู้มีชื่อเสียงในฐานะเป็นนักพูดบนเวทีสาธารณะที่ยิ่งใหญ่ เป็นนักเล่านิทานทั้งขำขันและฝากบทเรียน อันเป็นสาระให้แก่ผู้ฟังทุกราย สุนทรพจน์ ณ หลุมฝังศพทหารหาญผู้พลีชีพในสมรภูมิเกตตีสเบิร์ก (มลรัฐเพนซิลเวเนีย) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1863 ได้กลายเป็นสุนทรพจน์อมตะที่เด็กนักเรียนในสหรัฐฯ จะต้องท่องบ่นให้ขึ้นใจ ประดุจหนึ่งจะเป็นเพลงชาติ
ในบทความครั้งที่แล้วได้กล่าวถึงนิทานเรื่องราชสีห์กับลูกสาวของคนตัดฟืน ซึ่งท่านประธานาธิบดีลินคอล์น เล่าให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ฟังประกอบการตัดสินใจว่าสหรัฐฯ จะส่งเสบียงอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ไปปกป้องป้อมปราการซัมเตอร์หรือไม่?
ด้วยนิทานแฝง “ปรัชญาของชาวบ้าน” คณะรัฐมนตรีหลายๆ ท่าน ที่คัดค้านการส่งเรือปืนไปช่วยกองกำลังที่ป้อมปราการซัมเตอร์ คงจะอ้ำอึ้ง และคงจะต้องเอออวยไปกับแนวทางของประธานาธิบดี “มือใหม่หัดขับ” ในวันนั้น
อันที่จริง ท่านประธานาธิบดี “มือใหม่หัดขับ” ยังจะได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างที่ซ่อนเร้นในระบบ “ราชการ” แต่ในกระบวนการคิดวิเคราะห์ โต้แย้ง แสดงเหตุผล ประธานาธิบดีคนใหม่ได้สั่งสมประสบการณ์มามากมายไม่แพ้ผู้ใด ทั้งได้ฝึกการโต้แย้งในกระบวนการพิจารณาของศาลตุลาการมาตั้งแต่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นทนายความประจำศาลมณฑลในมลรัฐอิลลินอยส์ ขณะเดียวกัน ในชีวิตของการต้องย่ำไปในชนบทเพื่อรณรงค์หาเสียง ได้ขึ้นเวทีโต้แย้งกับนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามมานักต่อนัก โดยเฉพาะกับสตีเฟนดักกลาส ผู้ต่อสู้ในการเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกมลรัฐอิลลินอยส์ในช่วง 6 ปีก่อนจะได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี ลินคอล์นได้ปราศรัยในที่สาธารณะถึง 175 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นสุนทรพจน์สด และตามความเห็นของผู้ฟัง ลินคอล์นมีศิลปะการชักชวนให้ผู้ฟังเห็นคล้อยตาม และมีความงดงามของภาษา ซึ่งผู้พูดฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเด็ก จากการอ่านท่องจำบทกวีของเช็คสเปียร์ ตลอดจนไบรอน และโรเบิร์ต เบิร์นส์ ดังจะเห็นได้ชัดเจนจากสุนทรพจน์อันโด่งดังที่หลุมฝังศพเกตตีสเบิร์กเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1863 (Donald T. Phillips. (1992). Lincoln on Leadership: Executive Strategies for Tough Times,หน้า 146.)
ฉะนั้น จากเบื้องหลังของชีวิตของนักการเมือง “บ้านนอก” ผู้นี้ เราจึงไม่ควรจะแปลกใจมากนักเมื่อท่านประธานาธิบดีคนใหม่จัดตั้งรัฐบาลของท่านตาม “สไตน์ลินคอล์น” ย้อนแย้งต่อวิธีปฏิบัติของประธานาธิบดีคนอื่นๆ ในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งมักจะคัดเลือกผู้ที่สนิทชิดชอบกับตนเอง หรือไม่ก็จะเป็นผู้มีสายสัมพันธ์กับแหล่งทรัพยากรหรือฐานทางการเมือง โดยสำหรับลินคอล์น ได้คิดด้วยตนเอง ภายหลังทราบผลชัยชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1860
ประการแรก ลินคอล์นตั้งเป้าหมายไว้ว่า องค์ประกอบแรกคือ จะต้องเชิญอดีตคู่แข่งทั้ง 3 ท่าน มาร่วมในคณะรัฐมนตรีด้วย ได้แก่
วิลเลียม ซีวอร์ด (Seward) วุฒิสมาชิกจากรัฐนิวยอร์ก
ซัลมอน พี. เชส (Salmon P. Chase) ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ
เอ็ดเวิร์ด เบทส์ (Edward Bates) นักกฎหมายชื่อดังจากรัฐมิสซูรี
ทั้ง 3 คนนี้ คือผู้ที่มีกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลในพรรครีพับลิกันสนับสนุน และเป็นที่รู้จักกว้างขวางในระดับชาติ และเป็น 3 ชื่อแรกที่ผู้คนภายในพรรครีพับลิกันคิดว่าคนหนึ่งคนใดใน 3 ชื่อนี้ คงจะได้รับเลือกตั้ง (แต่ทุกคนก็จะผิดหวัง) ฉะนั้นการที่ลินคอล์นกลับมาเสนอชื่อทั้ง 3 ท่าน ให้มาร่วมรัฐบาล แสดงให้เห็นถึงความใจกว้าง (และไม่เล่นพรรคเล่นพวกดังกรณีอื่น) และปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นก็เป็นไปได้ที่จะมีการ “ปีนเกลียว” กันขึ้นก็ได้ เพราะเคยแข่งขันกันมาก่อน ซึ่งก็จะมีเค้าแต่เริ่มต้นเมื่อเชส ทราบว่าจะต้องมีซีวอร์ดมาเข้าร่วม เชสก็ปฏิเสธทันที แต่ด้วยวาทศิลป์และการสรรเสริญเยินยอจากลินคอล์น ตลอดจนเสนอตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้เชส เชสก็อ่อนลงและรับจะพิจารณา
ส่วนซีวอร์ดนั้น ก็คิดว่าตนเองน่าจะเป็นผู้จัดการตั้งรัฐบาล เปรียบเสมือนเป็นนายกรัฐมนตรี (โดยลินคอล์นควรเป็นประธานาธิบดีแบบไม้ประดับ) ก็คิดว่าจะหาทางคัดเลือกรัฐมนตรีท่านอื่นๆ แต่ลินคอล์นก็รู้ทัน จึงตัดบท แต่ก็เสนอให้ซีวอร์ดดำรงตำแหน่งเป็น “รัฐมนตรีแห่งรัฐ” ซึ่งคิดกันว่าเปรียบเสมือนนายกรัฐมนตรี
สำหรับเอ็ดเวิร์ด เบทส์ ดูจะไม่มีปัญหากับผู้ใด ยินดีรับจะทำหน้าที่เป็น Attorney - General (อัยการแห่งรัฐ)
นอกจากผู้อาวุโสทั้ง 3 นี้แล้ว และเป็นอดีตคู่แข่งกันทั้ง 4 คนรวมลินคอล์นด้วย จึงดูเหมือนจะเป็น “ทีมของคู่แข่ง” ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการใหม่และน่าสนใจว่าจะร่วมมือกันได้หรือ? ตามความคิดเห็นของผู้คนสมัยนั้นและสมัยนี้ คุณดอริส กูดวิน (Doris Goodwin) ผู้เขียนหนังสือ “Team of Rivals : The Political Genius of Abraham Lincoln” ได้นำการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีสไตน์ลินคอล์น มาเป็นชื่อหนังสือ และสรุปว่าเป็นภารกิจที่ท้าทาย “รัฐบุรุษผู้นี้” ที่กล้าเสนอแต่งตั้งผู้ที่เป็นคู่แข่งกันมาก่อน ให้มาร่วมทีมกันทำงาน และหนังสือของ ดอริส กูดวิน จึงกลายเป็นหนังสือที่ขายดี มีผู้ชื่นชมมากมาย ร่วมทั้งท่านอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา
แต่รายละเอียดของการใช้ยุทธวิธีอย่างไรในการจัดการกับคณะรัฐมนตรีรูปผสม เป็นเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและแสดงให้เห็นถึงอัจฉริยะของลินคอล์นในการจัดการสิ่งเหล่านี้
ที่สำคัญหรือหลักการขั้นพื้นฐานในฐานะเป็นผู้นำทีมการบริหารประเทศ ลินคอล์นจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนหรือความไว้วางใจจากมหาชน ไม่เพียงจากมลรัฐฝ่ายเหนือซึ่งเป็นคะแนนหลักที่สนับสนุนให้ลินคอล์นชนะเลือกตั้งเท่านั้น แต่จะต้องคำนึงถึงเสียงจากภาคใต้ ซึ่งขณะนั้นส่วนใหญ่ใน 7 มลรัฐ ได้คล้อยตามมลรัฐเซาท์
แคโรไลนา(South Carolina) ที่ประกาศแยกตัวจากสหภาพ (Union)และจัดตั้งเป็นสมาพันธรัฐ (Confederation) และยังมีมลรัฐอื่นๆ เช่น เวอร์จิเนีย และนอร์ท แคโรไลนา(North Carolina) รวมถึงเทนเนสซีที่จะเข้าร่วมภายหลัง ลินคอล์นจึงต้องกำหนดนโยบายที่อ่อนลง และไม่กล่าวถึง “การเลิกทาส” แต่อย่างใด ในสุนทรพจน์ในวันสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี (วันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1861)
หลักการสำคัญของลินคอล์นในทางการเมือง ซึ่งท่านกำหนดคิดด้วยตัวของท่านเอง มีอย่างน้อย 2 ประการหลัก
ประการแรก คือ การกำหนดนโยบายที่ไม่สุดโต่งไปทางซ้ายหรือขวา นัยหนึ่ง ท่านเลือกทางสายกลาง ภายในพรรครีพับลิกัน(Republican) มีกลุ่มผู้คนที่คิดสุดโต่งที่จะ “เลิกทาส” ทั่วทุกมลรัฐ รวมถึงในมลรัฐทางใต้ที่มี “ทาส” อยู่ก่อนแล้ว กลุ่มนี้เรียกกันว่ารัดดิคาล(Radicals) ผู้คิดสุดโต่ง และในคณะรัฐมนตรี ก็มีซัลมอน เชส รัฐมนตรีการคลังอยู่ในกลุ่มนี้
ขณะเดียวกัน ก็มีนักการเมืองในคณะรัฐมนตรีที่มีความคิดเห็นไม่สุดโต่ง เช่น ซีวอร์ด ซึ่งครั้งหนึ่งอาจจะดูซ้ายจัด แต่แท้จริงเป็นนักประนีประนอม ซึ่งลินคอล์นสนับสนุนแนวนี้ในช่วงต้นของสงคราม
หลักการที่สำคัญ ซึ่งลินคอล์นยึดถือไว้เสมอ ก็คือ หลักการที่ว่า “ไม่มีกิจการใดจะล้มเหลวหากได้รับแรงสนับสนุนและอารมณ์ร่วมของประชาชน และไม่มีกิจการใดจะสำเร็จหากไม่ได้รับแรงสนับสนุน” และท่านก็เชื่ออีกว่า “เส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงความคิดและความเชื่อของมนุษย์จะต้องเป็นเส้นทางที่มาจากขั้วหัวใจ หรืออารมณ์ความรู้สึก มิใช่จากสมองหรือเหตุผล”
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเริ่มต้นสงคราม ความห่วงใยมากที่สุดคือ มลรัฐชายแดนระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ เช่น เวอร์จิเนีย เคนตักกี้ มิสซูรี ซึ่งมีความสำคัญมาก ควรจะอยู่กับฝ่ายเหนือ แต่ลินคอล์นก็ทำไม่สำเร็จดังคาด เวอร์จิเนียกลับไปสนับสนุนฝ่ายใต้ และกลายเป็นสมรภูมิหลักระหว่างสงคราม ขณะที่เคนตักกี้ บ้านเกิดของลินคอล์น ขอรักษาความเป็นกลางระหว่างเหนือกับใต้
ส่วนรัฐอื่นๆ ที่สำคัญ คือ มิสซูรี เดลาแวร์ และแมรีแลนด์ ซึ่งสำคัญต่อการดำรงอยู่ของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในที่สุดก็ลงคะแนนเสียงสนับสนุนสหภาพ
ทั้งนี้ เพราะท่านประธานาธิบดีพยายามไม่เอ่ยถึงการเลิกทาส และยินยอมจะให้มีทาสต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในเป้าหมายสุดท้ายบั้นปลาย ท่านประธานาธิบดีก็มีความเชื่อว่าสถาบันทาสจะต้องไม่ขยายไปยังรัฐอื่นๆ และต่อมา เมื่อเวลาผ่านไปท่านก็เริ่มเอนเอียงไปทางความคิดของฝ่ายรัดดิคาลนี้จะต้องขจัดสถาบันทาสให้หมดไปในที่สุด มิฉะนั้นปัญหาเรื่องความขัดแย้งจะดำรงอยู่ตลอดไป ท่านจึงใช้เวลาหล่อหลอมแนวคิดของผู้คนให้ค่อยๆ เห็นตาม และใช้ศิลปะการชักนำตามแนวทางที่ว่า “การเปลี่ยนแปลงความคิดของมนุษย์นั้น หนทางหลักคือจะต้องเริ่มจากขั้วหัวใจอารมณ์ความรู้สึกมิใช่จากสมองหรือเหตุผล” ฉะนั้นจึงปรับยุทธศาสตร์การหาเสียงโดยเน้นการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ร่วมของผู้ฟังมากเท่าๆ เหตุผล ตลอดจนการยกตัวอย่างและนิทานชาวบ้านเพื่อย้ำเตือน
ฉะนั้น แม้ว่าสหภาพ (ฝ่ายเหนือ) จะต้องทุ่มเทกำลังคน กำลังทรัพย์อย่างหนัก เพื่อให้ได้ชัยชนะฝ่ายใต้ ในที่สุดเมื่อประชาชน รวมทั้งเหล่าทหารในสนามรบให้การสนับสนุนท่านประธานาธิบดีของเขาอย่างถึงที่สุด และท่านก็เรียนรู้จะใช้คนที่เก่งกล้าสามารถ เช่นนายพลกร้านต์ จึงประสบชัยชนะในที่สุด และรัฐสภา (ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร) ก็เห็นชอบให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 13เพื่อเลิกทาส ขณะเดียวกัน นายพลกร้านต์ ก็ประสบผลสำเร็จในการสงครามกับนายพลลีและกองทัพภาคใต้ และสหรัฐฯ ก็กลับหลอมรวมเป็นหนึ่งเช่นเดิม แต่ด้วยจิตวิญญาณใหม่จากสุนทรพจน์ ณ หลุมฝังศพทหารหาญเกตตีสเบิร์ก ปลายปี ค.ศ. 1863 ซึ่งตั้งความหวังไว้ว่า ชนชาตินี้ ภายใต้อุ้งหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า จะได้ให้กำเนิดใหม่แก่เสรีภาพ และรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน จะไม่สูญสิ้นไปจากโลกนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี