กระแสข่าวเปลี่ยนตัวหัวหน้าและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐดูจะเป็นจริง เมื่อวิเคราะห์จากองค์ประกอบต่างๆ แต่จะ “ได้ผล” หรือไม่ เพียงใด ต้องค่อยๆ แกะรอยเหตุการณ์ต่างๆ ดูกัน
1) มีการพูดกันหนาหูว่า จุดเอือมระอาจนนำมาสู่การเสนอให้ปลดหัวหน้า และเลขาฯ คือ นายอุตตม สาวนายน กับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ มีท่าทีห่างเหินกับสส.ของพรรคและเข้าถึงยาก ไม่เข้าใจพฤติกรรมของการเป็นพรรคการเมือง ไม่มีการดูแลสนับสนุนปัจจัยเพื่อดูแลสส.ภายในพรรค ตั้งแต่เสร็จสิ้นการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2562 เป็นต้นมาจนมาเป็นรัฐมนตรี ซึ่งรวมไปถึงนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.อว.ด้วย จนเป็นเหตุให้พล.อ.ประวิตร ต้องเข้ามานั่งตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรค พร้อมจัดแบ่งแกนนำพรรคให้บริหารตามรายภาค เพื่อให้ดูแล สส.ทั่วประเทศ และเตือนไปถึงนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และเข้าใจธรรมชาติของสส.
2) ประเด็นนี้สอดรับกับไลน์หลุดกลุ่ม 20 สส. ซึ่งเป็นการรวมตัวของ สส.ในส่วนภาคกลางที่นำโดย นายสุชาติ ชมกลิ่น สส.ชลบุรี หรือ สส.เฮ้ง ซึ่งเป็น ประธาน สส.ของพรรค มีการพูดคุยกัน แสดงความไม่พอใจ หัวหน้าและเลขาธิการพรรคซึ่งหมายถึง นายอุตตม หัวหน้า และนายสนธิรัตน์ ที่ไม่ขยับเขยื้อนในการสนับสนุน สส.ให้ช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์โควิด-19 โดยบอกว่า หัวหน้ากับเลขาฯไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อน จึงมีการบอกว่า ไม่เอาด้วยแล้ว เพราะว่าหน้าที่ต้องทำยังไม่รู้ และมีการกล่าวถึงกลุ่มสามมิตร ที่นำโดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่มีการมอบหน้ากากอนามัยให้ประชาชน ก็ให้แต่สส.กลุ่มตัวเอง ขณะที่กลุ่ม สส. มีการเรียก นายสุชาติ ชมกลิ่น ว่า รมต.เฮ้ง ซึ่งสส.เฮ้งบอกว่า เห็นใจเพื่อนๆ ทุกคนจริงแต่อะไรจะเกิดในอนาคต วันนี้ขอให้อดทนไว้นะครับ ผมจะวางแผนหาอะไรมาช่วยในกลุ่มพี่เพื่อนได้ รอนิดหนึ่ง กำลังใช้ความคิด เราจะต้องทำพื้นที่ในเวลานี้ และบอกว่าเริ่มดูว่า รมต.ในพรรค ถ้ามาช่วยกันดูแลพวกเราบ้างจะเป็นปัจจัยแอลกอฮอล์ หน้ากากหาไม่ได้ก็เอาปัจจัยมาให้ต่อคน หรือว่า รมต.ที่มีอยู่ ดูแลกัน แอบดูกันเฉพาะในภาคใครภาคมันเปล่า เราภาคกลางจะได้จดจำวันนี้ไว้ในใจ โควิดหมดเมื่อไหร่ เปิดประชุมพรรคเมื่อไหร่ อย่ามาว่าภาคกลางนะครับ
3) กลางเดือน ธ.ค.2562 เคยมีกระแสข่าวการปรับเปลี่ยนเลขาธิการพรรค ของนายสนธิรัตน์ โดยมีชื่อของนายอนุชา นาคาศัย สส.ชัยนาท แกนนำกลุ่มสามมิตร ขึ้นมาทำหน้าที่แทน แต่นายสนธิรัตน์ ได้ขอโอกาสในการทำงานและเสนอว่าหากจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งเลขาธิการพรรค ก็ควรต้องเปลี่ยนตำแหน่งหัวหน้าพรรคด้วย เพราะทั้งนายอุตตม และนายสนธิรัตน์ มาดำรงตำแหน่งพร้อมกัน โดยล่าสุดเมื่อเข้าสู่ช่วงวิกฤติโควิด-19 สส.พรรคพปชร.ต้องลงพื้นที่ดูแลประชาชน และต้องเพิ่มปัจจัย รวมถึงสิ่งของสนับสนุนในการดูแลประชาชนในพื้นที่ แต่ทั้งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ยังไม่ได้ให้การสนับสนุน มีเพียงกระทรวงพลังงาน ที่ให้โควตาสส. นำแอลกอฮอล์ 800 ขวด ลงไปแจกประชาชน และติดสติ๊กเกอร์นายสนธิรัตน์ รมว.พลังงาน บนขวด ทำให้สส.ไม่พอใจ เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย จึงได้รายงานต่อพล.อ.ประวิตร ประธานยุทธศาสตร์พรรค อีกครั้ง
4) เมื่อพล.อ.ประวิตร รับทราบปัญหาต่างๆ จากสส. ได้เรียกแกนนำแต่ละกลุ่มเข้าพบ พูดคุยกลุ่มละ ประมาณ 10-15 นาที โดยได้พูดคุยกับนายอุตตม และนายสนธิรัตน์ ถึงความไม่พอใจของ สส. ที่ไม่อยากให้ทั้ง 2 คน อยู่ในตำแหน่งต่อไป หากจะให้พรรคพปชร.เดินหน้าทางการเมืองและคงสถาบันความเป็นพรรคการเมืองต่อไป ซึ่งทั้ง 2 คน ก็รับทราบถึงปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้น ซึ่งการเคลื่อนไหวกดดันที่เกิดขึ้นนั้นมาจากแรงสนับสนุนของแกนนำกลุ่มอื่นๆ ทั้งกลุ่มนายวิรัช รัตนเศรษฐ สส.บัญชีรายชื่อ กลุ่มกปปส.กลุ่มกทม.บางส่วน รวมทั้งนายทหารใกล้ชิดพล.อ.ประวิตร ออกมากดดันกรรมการบริหารพรรคคนอื่น ให้ลาออกเพื่อให้หัวหน้าพรรคพ้นสภาพและเตรียมการประชุมสามัญพรรค เพื่อเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในพรรค และลดบทบาทของกลุ่มนายสมคิดลง ซึ่งแนวคิดการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารพรรค ยังเป็นแค่การเตรียมการไว้ แต่ยังไม่ใช่ช่วงเวลานี้ที่ยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสอยู่
5) อย่างไรก็ตาม มีการคาดว่า จะมีการเรียกประชุมพรรคก่อนเปิดสมัยประชุมสภานี้ ในเดือนพ.ค.นี้ เพื่อปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคพปชร.ชุดใหม่ เพื่อให้พล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ ในฐานะนายทุน ที่ให้ตึกเป็นที่ทำการพรรค ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรรค รวมถึงอาจมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งอื่นๆ อาทิ โฆษกพรรค ให้ทำงานเชิงรุกทางการเมืองมากขึ้น เป็นต้น
6) ส่วนกระแสข่าวการปรับครม. ก็มีแนวโน้มที่จะปรับด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากครบสัญญาใจ 1 ปี ที่บรรดาคนอกหัก ในกลุ่มก๊วนต่างๆ ต้องยอมกลืนเลือดเพื่อให้สามารถตั้งรัฐบาล “ประยุทธ์ 1” ได้ และเมื่อครบกำหนดการบริหารงาน 1 ปี จึงออกมากระตุ้นเตือนสัญญาใจที่ให้กันไว้ และหากมีการปรับครม.รอบนี้ ยังคงมีชื่อของนายสุชาติ ชมกลิ่น สส.ชลบุรี ประธานสส.พรรคพปชร. นายอนุชา นาคาศัย แกนนำกลุ่มสามมิตร เข้ามาอย่างแน่นอน รวมถึงอาจมีการสลับตำแหน่งในบางกระทรวงเพื่อให้ การทำงานตรงกับคน และล่าสุดก็มีชื่อของนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตสส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 5 พรรคพปชร.ล่าสุดเข้ามาอยู่กับพล.อ.ประวิตร มีชื่อติดโผรมช.กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง
7) แหล่งข่าวระดับสูง กล่าวว่า การปรับครม.ในส่วนของพรรคพปชร.มีความพยายามที่จะเขี่ย “3 กุมาร” ทั้งนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพราะต้องการกระทบไปให้ถึงตัวของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากในช่วงระยะหลัง พล.อ.ประวิตร ไม่พอใจกับทีมเศรษฐกิจชุดนี้ ขณะเดียวกันก็มีกระแสข่าวว่าพล.อ.ประวิตร ได้ติดต่อทาบทาม อดีตนายแบงก์ คนหนึ่ง ให้เข้ามาคุมทีมเศรษฐกิจด้วย
8) สำหรับนายอุตตมนั้น คาดว่า จะได้ทำงานชิ้นสำคัญส่งท้ายตำแหน่ง รมว.คลัง คือ การเสนอร่างพ.ร.ก.กู้เงินฯ ที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในช่วงวันที่ 27-28 พ.ค.นี้ และจะเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภา ในช่วงต้นเดือน มิ.ย. ก็จะเสร็จภารกิจ รมว.คลัง โดยนายอุตตม จะไม่ได้เสนอร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่คาดว่าจะเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ ในวันที่ 15 ก.ค.นี้
9) ส่วนตำแหน่ง รมว.พลังงาน นั้นคาดว่าจะคืนให้กับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม แกนนำกลุ่มสามมิตร ตามเดิม แต่ก็ยังมีความพยายามของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ที่สนใจกระทรวงพลังงาน ด้วย อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นจะยังไม่มีการไปขยับในโควตาของพรรคร่วมรัฐบาล และถ้าพรรคไหน ต้องการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีภายในพรรคก็สามารถแจ้งมาได้ โดยเรื่องปรับครม.อาจไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ เพราะยังมีปัจจัยเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข และจะต้องประเมินสถานการณ์ให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้และเป็นไว้วางใจได้ก่อนจะพิจารณาในเรื่องอื่น โดยทั้งหมดขึ้นอยู่กับนายกฯพิจารณในช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อไป
10) หากนายอุตตมยอมลาออกจริง ตามข้อบังคับพรรค กำหนดว่ากรรมการบริหารทั้งคณะต้องสิ้นสภาพ และต้องจัดประชุมใหญ่ เพื่อแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ขึ้นมาแทนภายใน 60 วัน ขณะนี้ผู้ใหญ่ในพรรคยังให้เวลาตัดสินใจแต่หากไม่ลาออก ก็มีแนวทางให้กรรมการบริหารพรรคลาออกกึ่งหนึ่งคือ 18 คน จากทั้งหมด 34 คน เพื่อเปิดทางให้เลือกกรรมการบริหารชุดใหม่ ซึ่งจะใช้ข้อบังคับพรรค ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)เพื่อขอจัดประชุมใหญ่พรรคในเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยมีตัวแทนสส., ตัวแทนสาขาพรรค และตัวแทนสมาชิก รวมกันไม่ต่ำกว่า 250 คน คาดว่าจะจัดประชุมใหญ่พรรคได้ประมาณกลางเดือนมิ.ย.เป็นต้นไป
11) นายอุตตม สาวนายน ยอมรับว่า มีกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)โทร.มาเล่าให้ฟังเพื่อขอให้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค พปชร. แต่ไม่ได้ตัดสินใจช่วงนี้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงปัญหาแพร่ระบาดโควิด-19 คือ การดูแลเยียวยาความเดือดร้อนของชาวบ้านเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของรัฐบาล เพราะต้องดูแลทั้งการเยียวยาประชาชนรายย่อยและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รายใหญ่เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และต้องทำให้งานบรรลุผลตามที่ได้รับมอบหมาย จึงไม่ได้คิดเรื่องการเมืองช่วงนี้
“เหตุการณ์และปัญหาแพร่ระบาดโควิด-19 กระทบวงกว้างจริง ๆ จึงขอทำงานที่ต้องทำเร่งด่วนอีกหลายอย่าง กระแสข่าวกดดันให้ลาออกถือว่าไม่กระทบการทำงาน ไม่มีผู้ใหญ่โทร.หาโดยตรง แต่กรรมการบริหาร พปชร.โทร.มาเล่าให้ฟังว่ามีการติดต่อขอให้ลาออกจากกรรมการบริหาร โดยพร้อมพูดจาทุกเรื่อง แต่ขณะนี้คิดว่างานแก้ปัญหาโควิด-19 มาก่อนเรื่องอื่น ไม่ใช่เวลาปรับเปลี่ยนการบริหารพรรคในช่วงนี้”
12) ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน มีรองนายกฯ รัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯนั่งฝั่งซ้าย และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯนั่งอยู่ฝั่งขวาของนายกฯ ปรากฏว่า ช่วงหนึ่ง อยู่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดถึงกระแสข่าวปรับครม.ขึ้นมาว่า ไม่มีการปรับครม.ใดๆ ทั้งสิ้น ตนคนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินใจได้ “ไม่ต้องต่อรอง ไม่ต้องเจรจา ผมเป็นนายกฯ ผมทำคนเดียว” โดยระหว่างที่พูดนายกฯได้หันไปมองที่นายสมคิด
นอกจากนี้ ช่วงเช้าวันเดียวกันก่อนประชุม ศบค.นายกฯได้สอบถามรัฐมนตรีที่เป็นแกนนำพรรคพลังประชารัฐบางคนถึงกระแสข่าวดังกล่าวด้วยความแปลกใจว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร สถานการณ์ขณะนี้ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ การแก้ปัญหาโควิด-19 เรื่องนี้จึงไม่เหมาะสมที่จะมาพูดในตอนนี้
13) ต่อมา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ให้สัมภาษณ์ว่าเรื่องนี้ตนก็ได้ยินมาจากข่าวที่นักข่าวเขียน บ้านเมืองกำลังเผชิญกับปัญหารุนแรงระดับโลกมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนั้น นาทีนี้ต้องช่วยกันทำงานให้ประเทศรอดพ้นไปให้ได้ ไม่ใช่เวลามาพูดถึงอำนาจ
“จะเอาอำนาจไปทำอะไร ไม่เข้าใจ แต่ผมว่าข่าวนี้ไม่น่าจะเป็นความจริง นาทีนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทำงาน หรือว่าว่างกันมากเกินไปรึเปล่า คนที่ทำงานก็ทำงานกันหนัก มาช่วยๆกันทำงานดีกว่ามั้ง แต่ผมไม่รู้เรื่องนะ เพราะไม่ได้อยู่ในพรรค ส่วนการทำงานของนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ในฐานะเลขาธิการพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และอีกหลายคนล้วนทำงานดีทั้งนั้น ก็อยากให้คนดีๆ ได้ทำงาน และคนพวกนี้ทำงานไม่ใช่เอาอำนาจ งานต้องเป็นงาน ในทุกวิกฤตการณ์ก็เห็นกันอยู่ว่าคนทำงานมีกี่กระทรวง ทั้งต้องทำงานและแบกรับ แต่กลับมามีข่าวแบบนี้ จริงไม่จริงไม่รู้ละ แต่ไม่ควรมีข่าวแบบนี้ คนทำงานจะได้มีกำลังใจทำงาน”นายสมคิด กล่าว
สรุป :: พลัง พปชร. มีหลายมุ้งหลายกลุ่ม มีทั้งคน “กินฟรี” และ “คนจ่าย” มีปัญหาคราใด ผู้ใหญ่ต้องลงไปเจรจาหาจุดประนีประนอมเสมอ ครั้งนี้ก็คงอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร เท่านั้น ที่จะเจรจากันในท้ายที่สุด โดยที่มีเรื่อง “โควิด-19” ช่วย “ต่อลมหายใจ” ให้สาย “สมคิด” รอดไปได้อีกหลายเดือน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี