การเปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ที่คือ สัจธรรมทางการเมือง
จนถึงเวลานี้ แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ยังปฏิเสธที่จะกล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ท่ามกลางกระแสข่าวและความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคการเมือง กลุ่มก๊วนการเมืองต่างๆ ในซีกรัฐบาล ที่เป็นไปอย่างเอิกเกริก
แต่คอการเมืองก็เชื่อแน่ว่า จะต้องมีการปรับ ครม. ภายในเดือน ก.ค.นี้
เพราะอะไร? อย่างไร?
1. พรรคพลังประชารัฐ พรรคแกนนำรัฐบาล ปรับเปลี่ยนขั้วอำนาจในพรรคเรียบร้อยแล้ว
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนใหม่ โดยมีเลขาธิการพรรค ชื่อ “อนุชา นาคาศัย” แกนนำกลุ่มสามมิตร ย่อมต้องการผลักดันแกนนำพรรคชุดใหม่เข้าไปเป็นรัฐมนตรี ในโควตาของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรคที่เสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ รายชื่อเดียวในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
2. พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ก่อนนี้ก็ได้เปิดเผยว่า ส่งชื่อ “ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์” เข้าไปเป็นรัฐมนตรีแทน “หม่อมเต่า” อดีตหัวหน้าพรรค รอแค่นายกฯ จะปรับ ครม.เมื่อใดเท่านั้นเอง
ขณะที่ในพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีความพยายามกดดันให้มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีของพรรค ในลักษณะคลื่นใต้น้ำอยู่เหมือนกัน ซึ่งน่าจะได้ข้อยุติ จบได้หมดสิ้นภายในการประชุมใหญ่ของพรรค 19 ก.ค. 2563
ส่วนพรรคภูมิใจไทย ปัญหาน้อยสุด เพราะคนเดียวตัดสินใจ จบเลย
3. ขณะนี้ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้าน ผ่านสภาไปแล้ว ใช้บังคับแล้ว เริ่มกู้เงินมาใช้เพื่อเยียวยาแล้ว หลังจากนี้ก็จะเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่วางกรอบวงเงินไว้ 4 แสนล้านบาท (จากเงินกู้ทั้งหมด 1 ล้านล้านบาท)
ส่วนงบประมาณแผ่นดินประจำปี 2564 ก็เข้าสู่การพิจารณาของสภาแล้ว 1-3 ก.ค. ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
4. การแตกหักครั้งสำคัญเกิดขึ้นล่าสุด ในพรรคพลังประชารัฐ
เมื่อกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐชุดใหม่บางคน ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างแข็งกร้าว ไล่รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลให้ลาออก เพื่อเปิดทางให้มีการปรับครม.ใหม่ หลายตำแหน่งเกี่ยวกับเศรษฐกิจ
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารพปชร. เลขานุการวิปรัฐบาล (ประธานวิปรัฐบาล คือ นายวิรัช รัตนเศรษฐ) ได้ออกมากร้าวใส่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งที่ 2 ว่า
“ถ้านายสมคิดออกไปจะทำให้คนใหม่เข้ามาทำงานได้อีกเยอะ โดยเฉพาะการทำงานด้านเศรษฐกิจ สิ่งที่ตนพูดสะท้อนมาจากความคิดเห็นของประชาชนที่เริ่มเบื่อหน่าย จำเป็นต้องระดมคนใหม่เข้ามาช่วยกัน ... แล้วแต่นายสมคิดจะคิด อยากให้สังคมเข้าใจว่าพรรคเรามีบุคลากรจากทุกภาคส่วนที่จะขับเคลื่อนบ้านเมืองเดินหน้าต่อไป แต่วันนี้ยังติดขัดเพราะคนเก่าที่ยังอยู่ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ทำให้คนใหม่เข้ามาไม่ได้”
นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ใช่แค่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเพียงแค่ตำแหน่งเดียว เชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะพิจารณาในตำแหน่งอื่นๆ ด้วย เพื่อให้คนเก่ง มีชื่อเสียง มีฝีมือเข้ามาทำงานกับรัฐบาล
ก่อนหน้านี้ นายชัยวุฒิเคยออกให้สัมภาษณ์ไล่สมคิดกลับไปเลี้ยงหลานแล้วครั้งหนึ่ง
5. แน่นอนว่า ท่าทีของนายชัยวุฒิคงจะไม่ใช่ของนายชัยวุฒิคนเดียว แต่น่าจะเป็นเสียงสะท้อนความต้องการของกลุ่มแกนนำชุดใหม่ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องการจะให้มีการเปลี่ยนแปลงในการปรับ ครม.โดยเร็วที่สุด
เพียงแต่ไม่กล้ากดดันนายกฯ พลเอกประยุทธ์ตรงๆ ก็เลยแสดงออกผ่านการไล่รองนายกฯ สมคิด
เพราะนายสมคิด คือ หัวเรือใหญ่ในทีมเศรษฐกิจ และเป็นซือแป๋ของกลุ่ม 4 กุมาร ที่ไม่มีตำแหน่งในกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่แล้ว
กลุ่มนายสมคิดนั่งเก้าอี้ใน ครม.อยู่ถึง 4 เก้าอี้ ได้แก่ รองนายกฯ – ว่าการคลัง- ว่าการพลังงาน-ว่าการการอุดมศึกษาฯ
6. ตำแหน่งที่มีแรงกดดันจากกลุ่มการเมืองเพื่อจะเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีขณะนี้ เช่น
รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรัฐมนตรีว่าการคลัง (นายอุตตม สาวนายน) กลุ่มการเมืองต้องการคนอื่นที่สดใหม่มีแนวทางและวิธีบริหารเศรษฐกิจที่สร้างความหวังในการฟื้นฟูเศรษฐกิจครั้งใหญ่หลังจากนี้ (แต่จะเกี่ยวกับความต้องการของนักการเมืองที่อยากจะล้วงลูกงบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านด้วยหรือไม่)
นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยคลังอีกหนึ่งตำแหน่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) แน่นอนว่านายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ต้องการเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน
ตำแหน่งอื่นๆ ก็จะกระทบกันไปเป็นโดมิโน่ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฯลฯ
7. อย่างไรก็ตาม การเมืองยุคนี้ ตัวนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงมีอำนาจต่อรองสูงมาก
กระแสนิยมในตัวนายกฯ ยังเหนือกว่ากระแสนิยมในตัวพรรคพลังประชารัฐ และภาพรวมของรัฐบาล
การพิจารณาบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรี อาจแยกเป็นสองส่วน
ส่วนแรก เป็นโควตากลางของนายกรัฐมนตรี ตำแหน่งสำคัญๆ เช่น รองนายกฯเศรษฐกิจ รัฐมนตรีคลัง ต่างประเทศ มหาดไทย พลังงาน เป็นต้น
อีกส่วนหนึ่ง ก็เป็นโควต้าให้พรรคร่วมรัฐบาลส่งรายชื่อคนของพรรคการเมืองตนเองเข้ามาทำงาน
ต้องจับตาว่า การต่อรองทางการเมืองในช่วงนี้ จะยุติลงอย่างไร
ในการเสนอชื่อของพรรคการเมือง ส่วนใหญ่ก็จะเสนอชื่อนายทุน หัวหน้ามุ้ง เข้ามาเป็นรัฐมนตรีกัน
หากสังคมต้องการ ครม.หน้าตาดี มีความหวัง ก็คงต้องช่วยกันหนุนนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ ให้ยืนหยัดเลือกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม มีความรู้ความสามารถ ซึ่งอาจจะไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด ให้สามารถอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ (โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ) .
หรือหากต้องการความต่อเนื่อง ก็อาจจะไม่ยอมปรับตามกลุ่มการเมืองเสียทั้งหมด โดยอาศัยอำนาจสิทธิขาดในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ต้องรับผิดชอบสูงสุด
8. ถ้าย้อนกลับไปดูการเปลี่ยนแปลงทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลในอดีต
จะพบว่า ก่อนจะมีการปรับครม.เศรษฐกิจ ก็มักจะมีข่าวคราวความคุกรุ่นก่อน ไม่ต่างจากขณะนี้
ยกตัวอย่าง
สมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ - ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว. คลัง เข้าพบนายกฯขณะนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า โดยใช้เวลาหารือประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้น ออกมาแถลงข่าว กล่าวว่ามีการนำบุคคลบางคนในรัฐบาลทักษิณ (นายสมคิด) เข้ามาช่วยงานในรัฐบาล และรัฐมนตรีบางคนในรัฐบาลได้ดำเนินการบางอย่างในลักษณะที่เอื้อประโยชน์แก่สื่อมวลชนบางรายเป็นการเฉพาะ ไม่ต้องการทำงานในลักษณะที่มีการปิดบังอำพรางและในสภาวะที่ดูเหมือนว่ารัฐบาลอยู่ภายใต้อิทธิพลของคนบางกลุ่ม จึงได้ยื่นหนังสือต่อนายกฯ ขอลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง
สมัยรัฐบาล คสช. – มีข่าวปรับ ครม.เศรษฐกิจต่อเนื่อง (ขณะนั้น ปี 2558 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เพื่อนพลเอกประวิตร เป็นรองนายกฯ) พลเอกประยุทธ์ตอบว่า “กำลังคิดอยู่ คือไม่อยากให้มีผลกระทบ แต่ถ้าปรับก็คือปรับ ไม่ปรับก็คือไม่ปรับ ถ้าพูดทุกวันก็ทำให้ทุกอย่างแย่ไปหมด เศรษฐกิจ ความมั่นคงแย่ เกิดความขัดแย้ง แล้วพอปรับเสร็จสื่อก็บอกว่านี่คือความขัดแย้ง ไม่สนใจไม่ฟังเสียงประชาชน”
เมื่อถามว่า ผลโพลล์ต้องการให้ปรับกระทรวงด้านเศรษฐกิจ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “เขาทำอะไรผิดบ้างบอกมา สิ่งไหนที่ทำวันนี้ไม่ดีหรือดีตรงไหน ทำให้เศรษฐกิจเลวลงหรืออย่างไร เลวลงเพราะเขาทำ เพราะผมทำหรือด้วยเพราะเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจข้างล่าง ความผิดความถูก มองให้ครบทุกมิติด้วย ถ้ามองในแง่ความไว้วางใจความน่าเชื่อถือก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สังคมต้องมองให้ออกว่าถ้าเผื่อปรับไปแล้วไม่ดีขึ้นกว่าเดิมจะโทษใครอีก โทษผมมั้ง ปรับผมออกใช่หรือเปล่า อย่าเพิ่งไปให้ความสำคัญมากนักเดี๋ยวผมจัดการของผมเอง... ให้กำลังใจทุกคน ทุกวัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธรบอกแล้วนี่ว่าท่านก็พร้อม ฟังบ้างเวลาที่ท่านพูด คนเขาก็สุภาพบุรุษกันอยู่แล้วไม่ต้องกลัวหรอก ทุกคนรู้ดีว่าเข้ามาแล้วต้องเจอกับสถานการณ์อะไรบ้าง เขารับได้ทั้งหมด แต่ก็อย่าไปทำให้เขาเสียกำลังใจ คือปรับมันก็ต้องปรับ แต่ไม่ใช่ปรับเพราะเลว ไม่ดี ไม่เก่ง มันไม่ใช่ แต่ในแง่ของปัญหาที่ทับซ้อนเยอะ แล้วกระบวนการประชาธิปไตยมันก็เร่งรัด นักการเมืองอยากเลือกตั้งเร็วๆ ต้องมองทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ...”
หลังจากนั้น ก็มีการปรับใหญ่ทีมเศรษฐกิจยกพวง
รัฐมนตรีที่เข้ามาใหม่ เช่น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เป็น รมว.การคลัง นายอุตตม สาวนายน เป็น รมว.ไอซีที นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็น รมช.พาณิชย์ ฯลฯ
ส่วนที่ถูกปรับออก เช่น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ นายสมหมายภาษี รมว.คลัง นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รมว.อุตสาหกรรม เป็นต้น
นั่นเป็นเส้นทางปรับ ครม.เศรษฐกิจในอดีต
แต่ปัจจุบัน จับตาว่าจะมีการปรับเปลี่ยนแค่ไหน อย่างไร?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี