ในวันนี้ เศรษฐกิจจีนถือว่าใหญ่เป็นที่ 2 ของโลก(รองจากสหรัฐอเมริกา) และน่าจะแซงสหรัฐฯ ขึ้นมาเป็นที่ 1 ในเวลาอีกไม่นานโดยควบคู่กันไป จีนยังได้เร่งขยายแสนยานุภาพทางการทหาร และกิจการอวกาศ รวมทั้งแผ่ขยายอิทธิพลทางการเมือง และเศรษฐกิจไปทั่วโลก
ภายในเวลาแค่ 40 ปี โดยประมาณ จีนได้ก้าวจากการเป็นประเทศล้าหลัง ด้อยพัฒนาไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาชั้นนำของโลก ด้วยระบอบผสมผสานระหว่างโครงสร้างทางการเมืองแบบพรรคเดียวเป็นเผด็จการ กับโครงสร้างทางเศรษฐกิจการตลาดแบบทุนนิยมเข้าด้วยกัน โดยพรรค/รัฐ มีบทบาทในการบริหารนำพา และดำเนินการค้าขายเองอย่างกว้างขวาง ควบคู่กับการเปิดให้ภาคเอกชนทำมาหากินกันได้ในระดับหนึ่ง (อยู่ในสายตาของพรรค/รัฐ)
จีนจึงกล้าโอ้อวดตนเองว่า ระบอบเผด็จการพรรคเดียวนั้นก่อให้เกิดเสถียรภาพต่อสังคม และอำนวยให้มีการทำมาค้าขายโดยปัจเจกชนและหน่วยงานของรัฐได้ ถือเป็นสูตรสำเร็จของการเปลี่ยนรูปโฉม และพัฒนาประเทศไปได้อย่างก้าวไกลเกินความคาดหมายของคนจีนเองและประชาคมโลก
แต่ท่ามกลางความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้น จีนกลับมีความอ่อนแอ และอ่อนไหว อยู่ในตัว นั่นคือ จีนกลัว และรังเกียจในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และขีดความสามารถของผู้คนในการที่จะมีศักดิ์ศรี รับผิดชอบต่อตนเอง ฉะนั้น ประชาชนจีนจึงต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการถูกกดขี่ ปิดกั้น ควบคุม ตีกรอบ จำกัดจำเขี่ย ทางการเมือง เพื่อแลกกับโอกาสในการทำมาค้าขาย หรือปิดสมองแต่อิ่มท้อง
การใช้อำนาจเผด็จการอย่างเด็ดขาดของพรรคและรัฐบาลจีน จึงสะท้อนให้เห็นว่าผู้นำจีนนั้นไม่ได้มีความมั่นใจว่าระบอบที่ตนเองภาคภูมิใจนั้น จะสามารถรับมือกับ “การเปิดกว้าง” หรือ “เปิดเสรี” ได้ ฉะนั้นแม้จีนจะมีผลงานเป็นความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ แต่กลับต้องมาคอยหวาดกลัว หวาดระแวงประชาชน ผู้นำจีนจึงเลือกจะกดขี่ประชาชนพลเมืองไว้อย่างเหนียวแน่น
ซึ่งก็น่าประหลาดใจว่า ถ้าผู้นำจีนเชื่อมั่นว่าระบบปิด ระบบเผด็จการ ระบบผสมผสานของเผด็จการการเมือง กับระบบเศรษฐกิจการตลาด ทำให้จีนก้าวไกล ยิ่งใหญ่ ของตนดีจริงแล้วก็น่าจะได้ใจประชาชนจีนไปเต็มๆ แล้วจะต้องไปกลัวอะไรกับการเปิดกว้างเสรีทางสังคมการเมือง และไม่ต้องสะทกสะท้านกับเรื่องเสรีภาพของกลุ่มผู้เห็นต่างในจีนโดยทั่วไป โดยเฉพาะในเขตที่จีนเข้าไปยึดครองและครอบงำ ไม่ว่าจะเป็นมองโกเลียในหรือที่ทิเบต และล่าสุดก็ที่ฮ่องกง และซินเจียง (ชนกลุ่มน้อยอุยกูร์)
กรณีฮ่องกงนั้น แวดวงสื่อ และนักวิชาการหรือพวกเชียร์จีนแบบไม่ลืมหูลืมตา ต่างคอยประโคมข่าวว่า สมควรแล้วที่จีนได้ตัดสินใจ
เข้ายึดครองฮ่องกงก่อนกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกับอังกฤษไว้ เมื่ออังกฤษคืนฮ่องกงให้จีนเมื่อปี พ.ศ. 2540 แล้วฮ่องกงจะมีสิทธิเสรีภาพทางการเมืองต่อไปได้อีก 50 ปี เพราะมองว่าพวกเสรีนิยมฮ่องกงเป็นหนอนบ่อนไส้ เป็นเครื่องมือให้ฝ่ายตะวันตกที่ไม่หวังดีต่อจีน ซึ่งการพูดและความเชื่อในทำนองนี้ ถือเป็นการดูถูกดูแคลนสติปัญญา และสภาวะจิตใจของชาวฮ่องกง ที่ต้องการความเป็นอิสระเสรีเป็นอย่างยิ่ง โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่าพวกเขาทำไปเพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของเขาเอง มิใช่เพราะถูกยุยงจากฝ่ายตะวันตก หรือเป็นมือปืนรับจ้างแต่อย่างใด
เราคนไทย ในฐานะผู้รักความเป็น “ไท” ก็ควรได้ชื่นชมชาวฮ่องกงที่ได้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพกันมา และควรได้แสดงความเสียใจในวันนี้ที่เขากำลังถูกรุกราน และครอบงำอยู่จากระบอบเผด็จการ ไม่ใช่ออกมาเชียร์ แซ่ซ้องรัฐบาลจีนที่จ้องแต่จะกดขี่ผู้คน เพราะกลัวเรื่องความเห็นต่าง และไม่ยอมรับเรื่องความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี มีสิทธิเสรีภาพ
จากประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การกดขี่ใดๆ นั้นมีกาลเวลาของมัน ไม่เคยอยู่ยั่งยืน เพราะในท้ายที่สุด คนทุกคนย่อมต้องการรับผิดชอบตนเอง และต่อสังคมต่อวิถีทางของการใช้สิทธิเสรีภาพ อันมีค่า ถึงขนาดยอมแลกด้วยชีวิต เพื่อให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานของเราได้รับอิสรภาพ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี