โสเกรตีส นักคิดชาวกรีกโบราณ ผู้มีชีวิตในช่วง 470-399 ก่อนคริสตกาล (พ.ศ. 73-144) น่าจะเป็นปัญญาชนคนแรกๆ ที่ต่อสู้เรื่องเสรีภาพทางความคิดจนตัวเองต้องจบชีวิตลงด้วยการถูกศาลนครรัฐเอเธนส์พิพากษาประหารชีวิตด้วยการดื่มยาพิษ
ด้วยแนวทางการดำเนินชีวิตในฐานะนักปรัชญาที่มุ่งหาความจริงโดยใช้เหตุผลตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ อย่างไตร่ตรองรอบคอบก่อนที่จะเสนอความคิดของตนเองสู่สาธารณชน อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการค้นหาความรู้และความจริงดังกล่าวของโสเกรตีสกลับถูกตั้งข้อหาต่อผู้ครองอำนาจนครรัฐเอเธนส์ซึ่งถ้าจะกล่าวในบริบทสังคมบ้านเราในปัจจุบันก็น่าจะประมาณว่า.....โสเกรตีสมีการกระทำที่เป็นภัยต่อสังคมด้วยการยุยงปลุกปั่นเยาวชนด้วยแนวคิดหรือลัทธิที่ผิดๆ ซึ่งขัดต่ออุดมการณ์หลักของประเทศ...
ระหว่างการดำเนินคดี หากโสเกรตีสยอมรับผิดและประณามการกระทำต่างๆ ของตนเองที่ผ่านมาและขอความกรุณาจากศาลสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก เขาก็คงถูกปล่อยตัวจากศาล แต่พลเมืองแบบโสเกรตีสกลับไม่ทำเช่นนั้น เขาเลือกการที่จะได้มีเสรีภาพทางความคิด ด้วยการกล่าวต่อศาลว่า....ถ้าศาลจะปล่อยตัวเขาโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเลิกเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในทางปรัชญาหรือวิชาการอย่างที่ตนเคยถือปฏิบัติมาก็จะไม่ยินยอม หากขอตายเสียดีกว่า...
ประมาณสองพันปีต่อมา กาลิเลโอ (พ.ศ.2107- 2185) ก็ถูกผู้มีอำนาจในยุคนั้นคือคริสตจักรโรมันคาทอลิกขัดขวางเสรีภาพทางวิชาการในด้านความคิดและการเสนอผลงานทางวิทยาศาสตร์เพราะสิ่งที่กาลิเลโอค้นพบนั้นไปขัดแย้งกับคำสอนในพระคัมภีร์
พ.ศ. 2176 กาลิเลโอในวัย 69 ปี ได้ถูกสันตะปาปาบัญชาให้เข้ามาชี้แจงด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีตและลบหลู่ศาสนา สุดท้ายศาลศาสนาโดยสันตะปาปาตัดสินห้ามกาลิเลโอแสดงความเห็นทางวิชาการที่ว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล พร้อมกับให้กาลิเลโอยอมรับว่างานวิชาการของเขานั้นขัดกับคำสอนในไบเบิลทุกเรื่อง กาลิเลโอถูกสั่งปรับทัศนคติโดยให้ยอมรับว่าสิ่งที่เขาค้นพบทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นเรื่องที่ตนคิดผิด ศาลศาสนายังให้เขาสาบานว่าจะไม่เขียน ไม่สอน ไม่พูดความเชื่อผิดๆ นี้ ไปตลอดชีวิต ไม่เช่นนั้นจะถูกขังคุกและทรมานจนตาย
กาลิเลโอจำใจต้องยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว แต่ก็ยังต้องถูกส่งไปกักบริเวณที่เมือง Siena ประเทศอิตาลี เวลาจะเดินทางไปไหนมาไหนจะต้องขออนุญาตจากสันตะปาปาก่อน ถึงแม้จะถูกสั่งห้ามทำงานวิชาการทุกชนิด แต่กาลิเลโอก็ยังแอบทำงานวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ของเขาต่อไปอย่างเงียบๆ ในวัย 74 ปี กาลิเลโอได้รวบรวมความคิดทางปรัชญาวิทยาศาสตร์ของเขาทั้งหมดออกมาเป็นหนังสือชื่อ Discourse on Two New Sciences อันเป็นงานวิชาการชั้นสุดท้ายก่อนที่จะเสียชีวิตในอีกสี่ปีต่อมา
ร่วมสมัยเข้ามาอีกนิด….ในปี 1837 (พ.ศ. 2380 หรือสมัย ร.3) ศาสตราจารย์เจ็ดคนจากมหาวิทยาลัยเกิททิงเง่น (GottingenUniversity) ประเทศเยอรมนี ได้ร่วมกันประท้วงการยกเลิกรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักร Hanover (ภายหลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมันในปัจจุบัน) โดยกษัตริย์ Ernest Augustus ซึ่งขึ้นปกครองราชอาณาจักร(ช่วง 1837-1851) แทนกษัตริย์ William IV ที่พึ่งเสียชีวิตไป
ภายหลังขึ้นปกครองราชอาณาจักรฮันโนเวอร์ได้ 3 เดือน กษัตริย์ Ernest Augustus ก็ทำการประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 1833 ของราชอาณาจักร Hanover ที่เคยใช้กันมา ด้วยเหตุผลที่ว่าตนเองไม่เคยยอมรับเนื้อหาในรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาก่อนเลยและบอกว่าถ้าตนได้เป็นกษัตริย์มาก่อนหน้านี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้
ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นมาได้พร้อมกับประกาศว่าจะร่างฉบับใหม่ขึ้นมาให้ตรงกับค่านิยมและความต้องการของตนเอง
การแสดงออกด้วยเสรีภาพทางความคิดซึ่งไม่เห็นด้วยกับการกระทำของผู้ปกครองที่เยอรมันครั้งนี้ นำโดยนักวิชาการ 7 คนที่มาจากหลากหลายสาขาวิชาคือ Wilhelm Grimm และ Jacob Grimm สองพี่น้องซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางด้านภาษาศาสตร์และวรรณคดีศึกษา, Wilhelm Weber ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์, Georg Gervinus ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์, Heinrich Ewaldศาสตราจารย์ด้านเทววิทยาและบูรพาทิศศึกษา (Orientalist),Wilhelm Albrecht ศาสตราจารย์ด้านกฎหมาย และคนสุดท้ายคือ Friedrich Dahlmann ศาสตราจารย์ด้านนิรุกติศาสตร์ (Philology)วิชาที่ศึกษาทำความเข้าใจถึงที่มา ภูมิหลังและวิวัฒนาการของภาษา ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการประท้วง
แสตมป์ที่ระลึกครบรอบ 175 ปีของเหตุการณ์ Gottingen Seven
การต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางความคิดของศาสตราจารย์ชาวเกิททิงเง่นทั้งเจ็ดนี้ ภายหลังได้ถูกเรียกว่า “Gottingen Sieben” หรือ “The Gottingen Seven”
หลังการรณรงค์ได้หนึ่งเดือนทำให้จาก Gottingen Sevenกลายมาเป็น Gottingen Protestation (การต่อต้านของชาวเกิททิงเง่น) เมื่อประชาคมเกิททิงเง่นคนอื่นๆ ทั้งอาจารย์และนักศึกษาได้ออกมาร่วมกันประท้วงการยกเลิกรัฐธรรมนูญครั้งนี้กับศาสตราจารย์ทั้งเจ็ด ทำให้กษัตริย์ Ernest Augustus ใช้อำนาจกดดันสภามหาวิทยาลัยเกิททิงเง่นให้ตั้งกรรมการสอบสวนศาสตราจารย์ทั้งเจ็ดคนนี้
สิบวันต่อมา..สภามหาวิทยาลัยมีมติให้ทั้งถอดศาสตราจารย์เจ็ดออกตำแหน่งศาสตราจารย์ของ Gottingen University โดยสามท่าน คือ ศาสตราจารย์ Dahlmann, Gervinus และ Jacob Grimm นั้นต้องรับโทษหนักที่สุดคือโดนสั่งให้ออกนอกประเทศ (ราชอาณาจักรฮันโนเวอร์) ภายในสามวัน
รูปปั้นของศาสตราจารย์ทั้งเจ็ดที่เมือง Hanover
ภายหลังถูกถอดออกจากตำแหน่งศาสตรจารย์ที่เกิททิงเง่นนักวิชาการทั้ง 7 คนนี้ก็กระจายไปสอนที่มหาวิทยาลัยในราชอาณาจักรอื่นๆ เช่น ศาสตราจารย์ Dahlmann และสองพี่น้องตระกูล Grimmได้รับคำเชิญจากกษัตริย์ของราชอาณาจักรปรัสเซียให้ไปศาสตราจารย์ที่ University of Bonn. ส่วน Albrecht กับ Weber ก็ไปเป็นศาสตราจารย์ทางกฎหมายกับฟิสิกส์ที่ Leipzig Universityตามลำดับสำหรับ Gervinus ก็ไปเป็นศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ที่ Heidelburg University และสุดท้าย Ewald ไปเป็นศาสตราจารย์ทางเทววิทยาที่ University of Tubingen
ครับ…เสรีภาพทางความคิดในสามกรณีดังกล่าวข้างต้นนั้นล้วนต้องแลกมาด้วยการสูญเสียอะไรบางอย่าง...แต่อย่างไรก็ตาม ในโลกยุคปัจจุบันนี้...การแสดงออกซึ่งเสรีภาพทางความคิดที่มีเหตุมีผลและตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้นั้นก็ไม่ควรมีใครหรือบุคคลใดที่สมควรจะต้องประสบชะตากรรมแบบโสเกรตีสหรือกาลิเลโอ
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี