ถกเถียงและด่าทอกันจนวายป่วงไปหมด กับคลิปบริจาคช่วยบ้านแม่เกิบ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ของแม่ค้าออนไลน์ชื่อ “พิม” หรือ “พิมรี่พาย”
1) ในส่วนของคลิป คลิปเลือกเล่าเรื่อง “ความไม่มี” ของที่แห่งนี้ กับ “ใจดีๆ” ของพี่พิม ถ้าการเล่าเรื่องนี้คือการเลือก “มุมกล้อง” กล้องได้บีบภาพให้เหลือเรื่องราวเพียง “แค่นี้”เลือกที่จะโฟกัสบางจุด และเบลอที่เหลือให้เป็นแค่โบเก้สวยๆ เสริมภาพหลักที่โฟกัสไว้ชัดแจ๋ว คลิปจึงไม่ได้มุ่งฉายภาพ “โรงเรียนและหมู่บ้าน” บน “ความจริงอันสมบูรณ์” แต่มุ่งเล่า“ความขาดแคลน” ที่ได้รับการ “เติมเต็ม” จากพี่พิมคนนี้ ด้วยใจล้วนๆ
คลิปจึงวางเส้นเรื่องเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกว่าด้วย “การมาของพี่พิม” ไกลแสนไกล แต่พี่พิมก็มา เมื่อมาถึง พี่พิมพบว่าไม่มีไฟฟ้า ไม่มีรองเท้าสวม กินข้าวกับน้ำพริกที่มีเครื่องปรุง คือ พริก เกลือ และผงชูรส ไม่รู้จักไข่เจียว ไม่ปลูกผัก ได้หนูมาตัวหนึ่งมาทำอาหาร นั่นถือเป็นมื้อพิเศษ เด็กๆ ไม่มีความฝัน(แม้ครูจะอธิบายว่าเพราะอะไร แต่คนจะจำแค่เด็กไม่มีความฝัน เพราะเป็นประโยคที่ถูกย้ำอีกครั้งโดยพี่พิม)
ช่วงที่ 2 ของคลิป จะว่าด้วยความมุ่งมั่นของพี่พิม ที่จะทำให้ที่นี่ “มีไฟ และมีฝัน” รวมทั้ง “ไอ้ที่เขาไปถางหญ้า หมดไปเป็นเขาๆ คือ เขาปลูกผักไม่เป็นใช่เปล่า เราสอนเขาปลูกผักไหม เขาจะได้เอาไปขาย จะได้ไม่ต้องมาถางหญ้า” จากนั้นมีการคำนวณค่าใช้จ่ายกันตรงนั้น พร้อมประโยคสำคัญคือ “ทำพี่เดี๋ยวพิมกลับไปขายของ”
ช่วงที่ 3 “การมาอีกครั้งของพี่พิม” มาพร้อมโซลาร์เซลล์เพื่อการ “มีไฟ” ทีวี-เพื่อการมีฝัน และชุดปลูกผัก สมทบด้วยรายละเอียดที่สวยมากคือ รองเท้า และการนั่งลงสวมรองเท้าให้น้องๆมีกิมมิก (ลูกเล่น) ก่อนนำไปสู่จุดสูงสุดของเรื่อง ด้วยการแจกไฟฉายสวมหัวให้เด็กๆ พร้อมกับนัดเด็กๆ มาพบตอน 1 ทุ่ม เพื่อนำมาสู่การเปิดตัว “ทีวีจอยักษ์”
ทีมถ่ายทำและวางเส้นเรื่องเก่งมากนะครับ นำเสนอ “พี่พิม”ในฐานะ “คนขายของ” ที่นำดอกผลจากการขายของมา “สร้างคุณค่า” สวยงาม บริสุทธิ์ ตื้นตัน น่าชื่นชม คลิปจึงสมบูรณ์ด้วยตัวมัน ในเวลาสั้นๆ ลำดับความได้แหลมคม และย้ำ“การลงมือทำความดี” อีกครั้งของพี่พิม (ซึ่งเธอทำมาตลอด ไม่ใช่เพิ่งทำ)
ผมเชื่อว่าพิมรี่พายตั้งใจ “เล่าเรื่อง” และ “สร้างการรับรู้”แค่นี้ คือ เล่าเรื่อง “ของเธอ” ยิ่งบีบความจริงของบ้านแม่เกิบให้มีน้อยคือขาดแคลนมากเท่าไหร่ การให้ของพิมก็ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น เราจึงเห็นว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ “เล่าความจริงทั้งหมด” ของแม่เกิบ แต่เขาจะเล่า “การให้ของพิม” อันเป็นศิลปะของการสื่อสารการตลาดปกติ เป็นการตลาดเชิงคุณค่า ที่ย้ำแบรนด์ “พิมรี่พาย” และย้ำความมั่นใจของการเป็น “ผู้สนับสนุน” ของแฟนๆ และลูกค้าของพี่พิมด้วย (พี่พิมห้ามเลิกจ้างทีมงานชุดนี้เด็ดขาด เขาเก่งมาก)
2) เมื่อคลิปเผยแพร่ออกมา คำชื่นชมเกิดขึ้นมากมาย มันจะดีมาก ถ้าหยุดกันอยู่แค่นั้น แต่มันเกิดการนำเรื่องนี้ มาแซะในหลวงรัชกาลที่ 9 อันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ไม่สมควร และไม่ฉลาดหลักแหลมใดๆ เลย เป็นเพียงอคติกับความเขลาที่ผสมโรงกันภายใต้กะโหลกของคนบางจำพวก นำมาซึ่ง “วิวาทะ”และเริ่มต่อไต่ไปที่ อดีตนายกฯ 2 คน มาจากจังหวัดเชียงใหม่ไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่พัฒนาล่ะ (นี่ก็พอกัน) จากเรื่องการตลาด-การทำความดี กลายเป็นเรื่อง “การเมือง คลิปของพิมรี่พายไม่ได้ถูกใช้เหนี่ยวนำความดี การแบ่งปัน และความมีจิตอาสา ในใจคนอีกต่อไปแล้ว แต่ถูกใช้ปลุกความเป็นขั้วเป็นข้างทางการเมืองแล้วเกิดการยกพวกตีกันในโลกออนไลน์ จนลูกหลงกระทบไปถึง “พี่พิม”
การต่อยอดมาถึงเรื่องนี้พึงทำหรือไม่ ทำได้ครับ แต่ต้องทำอย่างปราศจากอคติ ทำอย่างตรงไปตรงมา เพื่อจะย้ำเตือนว่า บ้านเมืองเรายังมีพื้นที่และผู้คนที่รอ “โอกาส” รอการพัฒนาที่ “ทั่วถึง-เท่าเทียม” กันอีกมาก กระนั้นก็ตาม ต้องตั้งอยู่บนหลัก“ความจริง-ความรู้-ความเข้าใจ” ในหลักการและวิธีการ-การพัฒนา เช่น ชุมชนนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ มีสถานภาพทางกฎหมายอย่างไร อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานใด มีการจัดสรรงบประมาณและการสนับสนุนด้านต่างๆ มากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับชุมชนข้างเคียง หรือพื้นที่ประเภทเดียวกัน เมื่อได้ข้อเท็จจริง ความรู้ และหลักการพร้อมแล้ว จะนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ และเสนอแนะ ได้ดีกว่า “กูคิดยังไง” หรือ “สลิ่มดิ้นอิจฉา” ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องหย่อนปัญญาและเปล่าประโยชน์
3) ข้อเท็จจริงที่มากกว่าการเล่าเรื่องในคลิป ท่าทีของสังคม ไม่ว่าจะฟากฝ่ายไหน เสมือนจะใช้เรื่องราวในคลิปเป็นที่ยุติของ “ข้อเท็จจริง” ไปแล้ว และนำมาสู่การวิพากษ์อย่างโง่เขลาเช่น แม่เกิบมีเท่านี้แหละ ไม่เคยได้รับการพัฒนา ไม่เคยมีใครไปให้ ถ้าพี่พิมไม่ไป ใครจะช่วย รัฐมัวทำอะไรอยู่ ใส่สูทขึ้นดอยมา 70 ปี ที่นี่ไม่มีไฟใช้ ฯลฯ
จึงมีข้อมูลและเหตุการณ์วันที่ 27 – 29 พฤศจิกายน 2561 ว่า ทางมูลนิธิวิจัยและพัฒนาเพื่อคุณภาพชีวิต ได้ทำการติดตั้งระบบส่องสว่างให้กับ โรงเรียนบ้านแม่เกิบ ที่ร่วมพัฒนาและสร้างขึ้นจากการร่วมมือกันของ กลุ่มจำปีเหล็ก TLC Group และสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มีข้อมูลจาก นางอรอานันท์ แสงมณี นักวิชาการศึกษาปฏิบัติการ กลุ่มส่งเสริมกิจการการศึกษาและเครือข่ายสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นบุคลากรที่ดูแลการส่งเสริมการศึกษาในถิ่นทุรกันดารโดยตรง ได้โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว “อรอานันท์ แสงมณี” ชี้แจงเรื่องดังกล่าว ว่า เนื่องจากมีกระแสในโลกออนไลน์จากยูทูบเบอร์ชื่อดังคนหนึ่ง และเราได้มีส่วนร่วมในการทำงานของ ศศช. ทำให้เกิดความไม่สบายใจ และมีข้อมูลบางอย่างที่คลาดเคลื่อน
จึงขออนุญาตใช้พื้นที่เล็กๆ แนะนำให้ทุกท่านรู้จัก ศศช.หรือศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” เป็นสถานศึกษาในสังกัด สำนักงาน กศน. กระทรวงศึกษาธิการ เป็นการจัดการศึกษาชุมชนที่ยึดชุมชนเป็นหลัก จัดกระบวนการเรียนรู้ให้ประชาชนทั้งชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ทั้งการศึกษาต่อ มีอาชีพ และพัฒนาอาชีพของตนเองให้สามารถดำรงชีวิตด้วยความสมดุลของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและนำมาเป็นส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้กับชุมชน มามากกว่า 40 ปี
มีกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม ดังนี้ 1.เด็กก่อนวัยเรียน อายุ 3-6 ปี จัดกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก โภชนาการ และดูพัฒนาการเด็กจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2.เด็กวัยเรียนที่ไม่ได้รับการศึกษา ในระบบโรงเรียน อายุ 7-14 ปี กลุ่มนี้ ศศช.บางแห่งเป็นสถานศึกษาพื้นที่เป้าหมาย การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ดูแลทั้งด้านโภชนาการ สุขอนามัย วิชาการจริยธรรม ฯลฯ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี 3.กลุ่มเป้าหมายผู้ใหญ่ อายุ 15 -59 ปี กลุ่มนี้จัดการศึกษาพัฒนาอาชีพและทักษะชีวิต การศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมถึงทักษะฟังพูดอ่านเขียนภาษาไทยเพื่อสื่อสารและรับบริการ เช่น สถานพยาบาลเวลาเจ็บป่วยจะได้แจ้งอาการถูก เป็นต้น 4.ผู้สูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป จัดกิจกรรมตามความสนใจของผู้เรียน ปกติครูทำหน้าที่สอนเด็กและประชาชนในชุมชน เป็นการจัดการศึกษาตามบริบทชุมชนและโครงการอื่นๆ ในพื้นที่จากหลายหน่วยงานโดยให้ ครู ศศช. เป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการ (บาง ศศช.เป็น 10 โครงการก็มี) และมักมีเครือข่ายมาให้การสนับสนุนอยู่บ่อยๆ ทั้งเรื่องของ อาคารเรียน ศศช. ที่จะถูกสร้างการสนับสนุนจากผู้ที่สนใจ (แต่เดิมชาวบ้านในชุมชนเป็นคนสร้างอาคาร ศศช.) ข้าวของเครื่องใช้ อาหารและยารักษาโรคต่างๆ ก็ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐตามพื้นฐานหรือจากผู้ให้การสนับสนุน
ด้วยพื้นที่ห่างไกล ระบบการใช้พลังงานไฟฟ้าไปไม่ถึงในบางพื้นที่ใช้พลังงานทดแทน พลังงานแสงอาทิตย์ หรือน้ำ แต่อาจจะไม่ได้มีทั้งชุมชน ภายใน ศศช. จะมีพลังงานทดแทนเหล่านี้สำหรับกิจกรรมการเรียนการสอนภายใน ศศช.
จากกระแสเรื่องราวของ ศศช.ที่ได้ถูกประชาสัมพันธ์และเผยแพร่อยู่ในขณะนี้ ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย หากท่านใดสนใจข้อมูลอยากให้การสนับสนุน ศศช. 808 แห่ง ในพื้นที่ 14 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน แม่ฮ่องสอน แพร่ พะเยา ลำพูน ลำปาง กาญจนบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี พังงา สามารถติดต่อสำนักงาน กศน.จังหวัด ทั้ง 14 จังหวัด ที่ได้แจ้งไว้ ขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจ และยินดีอย่างยิ่งที่จะให้การสนับสนุน ศศช. นะคะ
อยากอธิบายว่า... ประเด็นที่ 1 เด็กในพื้นที่ที่เขาไม่รู้จัก “ไข่เจียว” เนื่องจากเขาเรียกกันว่า “ทอดไข่” ประเด็นที่ 2 ถ้าเด็กๆ ไม่รู้จักวิธีปลูกผัก เขาจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่มีผักรับประทาน
**และยังมีประเด็นอื่นๆ ที่น่าคิด เช่น ในคลิปบอกว่าในหมู่บ้านไม่มีไฟฟ้าใช้ การศึกษาเข้าไม่ถึง แต่ในคลิปของยูทูบเบอร์ท่านนั้นที่ถ่ายตอนต้นคลิป(มุมสูง) ยังมีจานดาวเทียมตั้งตระหง่านอยู่ในหมู่บ้านเลย คือ??
*** อยากให้ทุกท่านได้เข้าไปดูในเพจของ ศศช.บ้านแม่เกิบ จะช่วยอธิบายอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อความเป็นกลางค่ะขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
สรุป :: 1) เข้าใจให้ตรงกันเถอะว่า คลิป เป็นการประชาสัมพันธ์พิมรี่พาย โดย “เลือก” เนื้อหาที่สนับสนุนตัวบุคคลและความตั้งใจของเธอ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของเธอเป็นหลัก ทั้งคำพูดของครู ของคนทั้งหมด จึงล้วน “ถูกเลือกแล้ว”ว่าจะเอาท่อนไหน แค่ไหน มานำเสนอ เพื่อตอบโจทย์เส้นเรื่องที่วางเอาไว้ ว่าจะ “เล่าอย่างไร” “เพื่ออะไร” จึงฉายภาพความจริงของที่นั่นจำกัดกว่าการฉายภาพพี่พิมเอามากๆ
2) เมื่อการเล่าเรื่องใน “มุมแคบ” เฉพาะตัว จนคลิปนั้น มันไปกระทบกับ “ความเป็นจริง” ของพื้นที่ ที่ยังมีอะไรมากกว่านั้น เช่น มีคนไปช่วยมากกว่านั้น มีการพัฒนามาโดยลำดับ จนต้องมีผู้เกี่ยวข้องมาทักท้วงและชี้แจง ตรงนี้คือสิ่งที่ต่อไปต้องระมัดระวังและ “ใส่ใจ”
3) การใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ คงไม่ใช่การมุ่ง “เอาชนะกัน”หรือ “ยกพวกตีกัน” ในโลกออนไลน์แน่ๆ แต่ควรนำไปสู่ การค้นหาความจริงของพื้นที่นั้น การคิดต่อยอดว่า ใคร หน่วยงานใด ควรเข้าไปจัดการอย่างไรในพื้นที่นั้น สำคัญที่สุดคืออย่าเอา“วิถีชีวิต” ในแบบของตัวเองไปเป็น “กรอบกำหนด” ว่าชีวิตที่ดีต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น เช่น ทีวีทำให้โลกแห่งการเรียนรู้ของเด็กกว้างขึ้นได้ แต่ไม่ได้แปลว่าเป็นเครื่องมือที่ดีที่ทำให้เด็กมีฝันมี “ตัวอย่างที่ดี” เสมอไป เพราะเรื่องเลวทราม/เปล่าประโยชน์/ไร้สาระ ในโทรทัศน์ก็มีเยอะแยะ / ชาวเขาไม่รู้จักปลูกผัก ถางไร่ป่าหมด (ที่จริงเขามีพืชผักสารพัดที่จะเก็บกินได้ทั้งปี) / ไข่เจียวคือ ตัวชี้วัดคุณภาพชีวิต เป็นต้น
สรุปในท้ายที่สุด
- ทีมงานของพิมรี่พายมุ่งสร้างซีนให้พี่พิมมากเกินไป จนไปจำกัดตัดทอน “ความเป็นจริง” บางส่วนออก เพื่อให้พื้นที่นี้ทุรกันดารที่สุดและขาดโอกาสทางการศึกษาที่สุดในประเทศไทย เหมือนที่พี่พิมพูดตอนแรกสุดของคลิป แต่ความจริงของที่นี่มีมากกว่านั้นไง เพียงแต่มันไม่ถูกฉายออกมา เพราะต้องการฉาย “พี่พิม” เป็นสำคัญ
- มีคนพร้อมจะเซาะแซะสถาบันและการเมืองขั้วตรงข้ามอยู่แล้ว แค่หาว่าจะหยิบอะไรขึ้นมาเป็นเครื่องมือมาเจอคลิปนี้เข้า เลยใช้งานกันจนเลอะเทอะไปหมด
ทำต่อไปนะพี่พิมนะ แต่ระมัดระวังมากขึ้น ศึกษาเรียนรู้ความต่างของชีวิตความเป็นอยู่ โลกทรรศน์ และชีวทรรศน์ของผู้คนให้มากขึ้น ความจริง ความรัก และความดี จะได้มาประชุมพร้อมกันอย่างสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเลือกโฟกัสเฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนละเลยหรือบีบรัดตัดทอนอีกสิ่งหนึ่งออกไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี