ในวิกิพีเดีย มีการอธิบายคำว่า สัมมาอาชีวะของหลักพุทธศาสนาดังนี้
สัมมาอาชีวะ หมายถึง การเว้นมิจฉาอาชีวะ อันได้แก่ การเลี้ยงชีพไม่ชอบ การแสวงหาปัจจัยมาบริโภคที่มิชอบ คือการโกงหรือหลอกลวง ละเว้นการประจบสอพลอ การบีบบังคับขู่เข็ญ และการต่อลาภด้วยลาภ หรือการแสวงหาลาภโดยไม่ประกอบด้วยความเพียร (สัมมาวายามะ) คือขี้เกียจ อยากได้มาง่ายๆ โดยไม่อาศัยกำลังแห่งสติปัญญาและแรงกาย ซ้ำโลภจนไม่ชอบธรรม เช่น เบียดเบียนลูกจ้าง และทำลายสิ่งแวดล้อม สังคม เพื่ออยากได้มาก เสียให้น้อย
รวมถึงการไม่ประกอบมิจฉาอาชีวะ 5 ประเภทดังนี้
1.สัตถวณิชชา คือ การขายอาวุธ ได้แก่ อาวุธปืนอาวุธเคมี ระเบิด นิวเคลียร์ อาวุธอื่นๆ เป็นต้น อาวุธเหล่านี้หากมีเจตนาเพื่อทำร้ายกัน จะก่อให้เกิดการทำลายล้างซึ่งกันและกัน โลกจะไม่เกิดสันติสุข
2.สัตตวณิชชา หมายถึง การค้าขายมนุษย์ ได้แก่ การค้าขายเด็ก การค้าทาส ตลอดจนการใช้แรงงานเด็กและสตรีอย่างทารุณ รวมถึงการขายตัวหรือขายบริการทางเพศทั้งของตัวเองและผู้อื่น
3.มังสวณิชชา หมายถึง การค้าขายสัตว์เป็นๆสำหรับฆ่าเพื่อเป็นอาหาร เป็นการส่งเสริมให้ทำผิดศีลข้อที่ 1 คือการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
4.มัชชวณิชชา หมายถึง การค้าขายน้ำเมา ตลอดจนการค้าสารเสพติดทุกชนิด รวมถึงการเสพเอง
5.วิสวณิชชา หมายถึง การค้าขายยาพิษ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ รวมทั้งเป็นอันตรายต่อสัตว์
โลกแต่อดีตมีการทำมาค้าขายกันด้วยระบบศักดินา ด้วยระบบแรงงานทาส ด้วยระบบแลกเปลี่ยนสินค้า จนกระทั่งร่วม 300 ปีที่แล้ว โลกจึงได้เข้าสู่วิธีการทำมาค้าขายที่เรียกว่า ระบบทุนนิยม ซึ่งหมายถึงระบบเศรษฐกิจซึ่งเจ้าของเอกชนเป็นผู้ดำเนินการการค้า การอุตสาหกรรมและการผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไร คุณลักษณะสำคัญของทุนนิยม ได้แก่ การสะสมทุน ตลาดแข่งขันและค่าจ้างแรงงาน
ในวิกิพีเดียได้แจงว่า ระดับการแข่งขัน บทบาทการแทรกแซงและจัดระเบียบ ตลอดจนขอบเขตของหน่วยงานธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของแตกต่างกันไปตามทุนนิยมแต่ละแบบ นักเศรษฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์การเมือง และนักประวัติศาสตร์ได้ยึดมุมมองการวิเคราะห์ทุนนิยมแตกต่างกันและยอมรับทุนนิยมหลายแบบในทางปฏิบัติ แบบของทุนนิยมรวมถึงทุนนิยมปล่อยให้ทำไป ทุนนิยมแบบสวัสดิการและทุนนิยมโดยรัฐ โดยแต่ละแบบเน้นระดับการพึ่งพาตลาด หน่วยงานธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของและการรวมนโยบายทางสังคมแตกต่างกัน การที่แต่ละตลาดมีความเป็นอิสระมากเพียงไร ตลอดจนกฎนิยามกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลมีขอบเขตเป็นอย่างไรนั้นเป็นเรื่องของการเมืองและนโยบาย หลายรัฐใช้ระบบที่เรียกว่า เศรษฐกิจแบบผสมทุนนิยม ซึ่งหมายความถึงการผสมระหว่างส่วนที่มีการวางแผนจากส่วนกลางและขับเคลื่อนโดยตลาด
ทุนนิยมมีอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองหลายระบอบ ในหลายเวลา สถานที่ และวัฒนธรรม หลังระบบศักดินา (Feudalism) เสื่อมลง ทุนนิยมได้กลายมาเป็นระบบเศรษฐกิจหลักในโลกตะวันตก ต่อมา จนในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทุนนิยมก็ได้เอาชนะการท้าทายจากเศรษฐกิจที่มีการวางแผนจากส่วนกลาง และในปัจจุบันได้กลายเป็นระบบเด่นกระจายไปทั่วทั้งโลก โดยมีเศรษฐกิจแบบผสมเป็นรูปแบบหลักในประเทศอุตสาหกรรมตะวันตก
แต่ระบบทุนนิยมในวันนี้ ได้นำสังคมโลกไปสู่การกระจุกตัวของความมั่งมี และอำนาจที่ตามมา ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง นอกจากนั้นยังเพิ่มพูนความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และความเหลื่อมล้ำทางคุณภาพชีวิตอย่างมากมายล้นเหลือ อีกทั้งได้นำไปสู่การทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและความไม่เป็นปกติ หรือความสม่ำเสมอของฤดูกาล ที่โยงใยไปถึงการเกษตร และการแพร่ระบาดของโรคภัยไข้เจ็บ
ทั้งหมดนี้ได้สะท้อนว่า ระบบทุนนิยมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการแข่งขัน และการหากำไรให้ได้มากที่สุดนั้นเป็นภยันตรายต่อมวลมนุษยชาติ และธรรมชาติแวดล้อมอย่างจับต้องได้ เป็นที่ประจักษ์
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะผู้ที่ก้มหน้าทำมาหากินกันภายใต้ระบบทุนนิยมนั้นต่างได้ลืมเลือนหลักคิด หลักคำสั่งสอนของศาสนาต่างๆ ว่าด้วยการพึ่งพาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การแบ่งปันกัน และการไม่เอารัดเอาเปรียบกัน อีกทั้งการละเว้นกิจการงานที่ไม่เป็นประโยชน์ และเป็นอันตรายต่อสังคม และธรรมชาติโดยรวมไปเสียหมดแล้ว
การมุ่งเอาแต่กำไรเป็นที่ตั้ง และการดำเนินอาชีพแบบข้าไปคนเดียว ก็ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำดังกล่าวแล้ว ยังนำไปสู่ความแตกแยก การรังเกียจเดียดฉันท์กัน และการเผชิญหน้ากัน ซึ่งจะนำไปสู่การใช้ความรุนแรงและประหัตประหารกันได้ เป็นการบ่งบอกว่า ในที่สุดแล้วมวลมนุษย์ต้องอะลุ้มอล่วย ต้องร่วมมือ และแบ่งกัน
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา สังคมโลกจึงมีการเรียกร้องและขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการธุรกิจภายใต้ระบบทุนนิยมคำนึงถึงสังคม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ มิใช่แต่จะมุ่งหากำไรแต่อย่างเดียว และทำความเสียหายให้กับมนุษย์และธรรมชาติร่วมโลก
จึงได้เกิดแนวคิดและมาตรการว่าด้วย การทำธุรกิจแบบมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility-CSR) และการทำธุรกิจที่มีการบริหารจัดการด้วยหลักธรรมาภิบาลที่ดี เช่น ความโปร่งใส การได้รับการตรวจสอบ และเข้าถึงซึ่งข้อมูลต่างๆ และการรับผิดชอบต่อผลของการกระทำที่มีความเสียหายต่อส่วนรวม และแนวคิดในเรื่องการทำธุรกิจที่ดีก็มีความเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ เช่น ในเรื่องการปฏิเสธไม่เข้าร่วมในกิจการใดๆ ที่ก่อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น และยังจะต้องมีบทบาทในการร่วมต่อต้านการทุจริตมิชอบอีกด้วย และนอกจากนั้นก็จะต้องดำเนินธุรกิจที่อยู่ในศีลในธรรม ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่เอาแต่ได้ด้วย
อีกทั้งระบบทุนนิยมในโลกของเรานี้ จะต้องช่วยป้องกันมิให้มีผู้ใดถูกตกหล่น หรือถูกทอดทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องของการกระจายผลประโยชน์ การให้ค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกับความหนักเบาของงาน และอำนวยให้สามารถดำรงชีวิตที่อยู่ด้วยได้อย่างมีคุณภาพและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
เมื่อไม่นานมานี้ องค์สันตะปะปาแห่งสำนักวาติกัน โป๊ปฟรานซิส ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการส่งเสริมให้ระบบทุนนิยมมิถูกใช้เพื่อการหากำไร และความเป็นที่หนึ่งแต่อย่างเดียว หากแต่มุ่งประสงค์ให้ระบบทุนนิยมนั้นมีความนึกคิดและการปฏิบัติที่อยู่ในศีลในธรรม คือคิดถึงสังคมและผู้อื่น และเป็นระบบที่ผลประโยชน์ครอบคลุมและกระจายไปทั่วสังคม (Moral and Inclusive Capitalism)
สำหรับไทยเราและแวดวงพุทธ ก็ได้อยู่กับคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้ามาร่วม 2,600 ปีกันแล้ว ฉะนั้น เรื่องการทำธุรกิจหรือการดำรงชีพด้วยความถูกต้องชอบธรรม ไม่เบียดเบียนและไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่นและธรรมชาติแวดล้อม ก็เป็นที่ตระหนักกันอยู่ แต่ความรู้นั้นยังมิได้มีการนำไปสู่การปฏิบัติที่เพียงพอ ก็ถึงเวลาที่เราจะได้มีการทบทวนการเรียนการสอน และการทำมาหากินในระบบทุนนิยมที่มีธรรมเป็นตัวตั้ง อีกทั้งแวดวงศาสนาหลักๆ ในประเทศไทยก็สามารถร่วมมือกันได้ในเรื่องระบบทุนนิยมที่กอปรด้วยศีลธรรม
ทุนนิยมนั้นเป็นเพียงเครื่องมือ ที่สุดท้ายแล้วจะเป็นประโยชน์ หรือเป็นโทษ ก็ขึ้นอยู่กับมือของมนุษย์ผู้ใช้ และการที่จะใช้ระบบทุนนิยมเพื่อประโยชน์ และความผาสุกของสังคมได้ มนุษย์ผู้ใช้จะต้องกำกับตนเองด้วยหลักธรรม มิเช่นนั้นแล้ว ต่างคนก็จะแก่งแย่ง เข่นฆ่ากัน สังคมโลกก็จะค่อยๆ เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง ก็จะไม่มีมนุษย์คนใดสามารถอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป กลายเป็นความล่มสลายของมวลมนุษยชาติในที่สุด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี