เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีอายุครบ 100 ปี และมีการเฉลิมฉลองกันอย่างสมน้ำสมเนื้อ สมเกียรติ ต่อความสำเร็จและความยั่งยืน รวมทั้งอนาคตที่ดูจะสดใส มั่นคง ภายใต้ข้อจำกัดของการรักษาเนื้อรักษาตัว ระมัดระวังตัวจากโรคระบาดโควิด-19
ความสำเร็จของประเทศจีนในปัจจุบันนี้ แม้ผมในฐานะอดีตข้าราชการพลเรือนที่มีส่วนร่วมในการต่อสู้และต่อต้านกับการแพร่ขยาย และการคุกคามของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ภายใต้การนำพา ชี้นำและการสนับสนุนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นสำคัญ) ซึ่งไม่เอาด้วยกับวิถีทางคอมมิวนิสต์และเผด็จการทุกรูปแบบ ก็ยังอดที่จะแสดงความยินดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่ได้ ที่สามารถดำรงมาได้ถึง 100 ปี และดูท่าว่าคงจะก้าวต่อไปได้อีกยาวนาน ทั้งๆ ที่ในอดีตนั้นต้องต่อกรกับพรรคก๊กมินตั๋งชาตินิยม โดยช่วงหนึ่งก็ร่วมมือกันเพื่อต่อต้านการรุกรานของเจ้าจักรวรรดินิยมญี่ปุ่น และในสงครามโลกครั้งที่สองจีนเองก็ถือเป็นผู้ร่วมชัยชนะเหนือฝ่ายอักษะทั้งเยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี และสเปน
อย่างไรก็ดี เมื่อร่วมกันปราบญี่ปุ่นได้แล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนและพรรคก๊กมินตั๋งก็หันกลับมาต่อกรฆ่าฟันกันต่ออีกร่วมๆ 4-5 ปี จนในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เป็นฝ่ายกุมชัยชนะและขับพรรคก๊กมินตั๋งออกไปจากผืนแผ่นดินใหญ่ จีนไปตั้งมั่นอยู่ที่เกาะไต้หวันจนกระทั่งทุกวันนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949(พ.ศ. 2492) พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ทำการปกครองประเทศจีนได้ 70 ปีแล้ว
อาจพูดได้ว่าในช่วง 30 ปีแรกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ถือเป็นการทำสงครามสู้รบเพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง และ 70 ปี ให้หลังเป็นช่วงเวลาแห่งการสร้างชาติ พัฒนาประเทศ และเสริมสร้าง
ความเข้มแข็งให้กับพรรค ในฐานะองค์กรปกครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่ผู้เดียว ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็สามารถปรับปรุงตัวเองและฟันฝ่านโยบายและมาตรการปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution) นโยบายและมาตรการการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบก้าวกระโดด (Great leap forward)การทดลองกับระบบนารวม การมีระบบเศรษฐกิจแบบรัฐเป็นผู้วางแผน กำกับ ควบคุม และดำเนินการเองซึ่งในระยะแรกนั้นเต็มไปด้วยความล้มเหลว หายนะผู้คนขาดแคลนอาหาร ล้มตาย ยากไร้ เป็นล้านๆ คน แต่เมื่อไม่ยอมแพ้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็สามารถรวมจีนให้เป็นประเทศหนึ่งเดียวกันได้ เลี้ยงตัวเองด้วยธัญพืชได้สำเร็จ และการอำนวยให้คนได้อ่านออกเขียนได้
ตลอด 70 ปีที่ผ่านมา จีนมีผู้นำประเทศเพียงไม่กี่คนซึ่งแม้ว่า เหมา เจ๋อตุง จะล้มเหลวกับนโยบายปฏิวัติสังคมและเศรษฐกิจดังกล่าว แต่ก็ยังได้รับความเคารพ เชื่อถือได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษที่รวมชาติ และปลดแอกจีนจากอิทธิพลและอารยธรรมของฝ่ายตะวันตก รวมทั้งการไม่ยอมที่จะเป็นลูกไล่ให้กับสหภาพโซเวียตรัสเซีย แล้วจีนก็มาได้ เติ้ง เสี่ยวผิง มาเป็นผู้นำต่อจากเหมา เจ๋อตุง
ที่ตระหนักในความล้มเหลวต่างๆ และความล้าหลังอย่างมากของจีน ซึ่งก่อน 200 ปีที่ผ่านมา เป็นเวลานับพันปีที่จีนยิ่งใหญ่ มีความเจริญก้าวหน้าทุกด้านกว่าประเทศใดๆ ในโลก จะมีคู่แข่งก็คือแค่อินเดียเท่านั้น
ซึ่ง เติ้ง เสี่ยวผิง เห็นว่าระบบเศรษฐกิจแบบรัฐนำพานั้นไปไม่รอด ด้วยวิสัยทัศน์อันยาวไกลจึงเปิดประเทศจีนเข้าสู่ตลาดการค้าโลก หรือจะเรียกว่าเข้าสู่ระบบทุนนิยม หรือจะเรียกว่าการเป็นส่วนหนึ่งของยุคโลกาภิวัตน์ก็ว่าได้ แต่จีนก็ยังไม่มีการเปิดเสรีทางด้านการเมืองการปกครอง ก็เท่ากับว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังผูกขาดอำนาจรัฐอย่างเหนียวแน่น แต่เปิดประเทศให้มีความเป็นตลาดเสรี ให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในจีนได้ และจีนก็ออกไปเข้าร่วมในตลาดโลก
จากปี ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) จนถึงปี ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554) โดยประมาณ จีนก้าวขึ้นมาเป็นขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นที่ 2 ของโลกภายใต้การนำพาของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จัดได้ว่าเป็นความสำเร็จอันใหญ่หลวงที่ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ที่ประเทศหนึ่งใดสามารถที่จะหลุดพ้นจากความยากจน ความล้าหลัง ขึ้นมาภายในระยะเวลาแค่ 30 ปีเศษ
และมิใช่แค่เรื่องปากท้องเท่านั้น จีนกำลังเร่งตัวในเรื่องความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ อย่างรวดเร็วอีกด้วย อีกทั้งจีนก็ไม่เหนียมอายที่จะป่าวประกาศและเชิญชวนโลกให้มาดูระบบของจีนเป็นแบบอย่าง คือพรรคเดียวเป็นเผด็จการ และพรรคกำกับเศรษฐกิจการตลาดเสรี หรือทุนนิยม โดยปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงระบบการเมืองการปกครองแบบหลายพรรคแข่งขันกัน และประชาชนพลเมืองมีสิทธิเสรีภาพในการมีส่วนร่วม และวิพากษ์วิจารณ์การตอบสนองของฝ่ายอำนาจรัฐ โดยจีนอ้างด้วยว่า แม้ว่าจีนจะเป็นระบบพรรคเดียว แต่ความคิดอ่านในการทำงานทำการนั้นมีประชาชนพลเมืองเป็นตัวตั้ง และพรรคต้องตอบสนอง ขณะที่ระบบเสรีประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตกนั้นเป็นเรื่องราวของกลุ่มผลประโยชน์เป็นสำคัญ และกลับเสริมสร้างความไม่ยุติธรรม และความเหลื่อมล้ำต่างๆ ในสังคมนั้นๆ
อีก 20-30 ปีต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องท้าทายว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นจะยังสามารถคุมอำนาจอย่างเข้มแข็งต่อไปได้อีกหรือไม่ ด้วยการตอบสนองความต้องการของคนจีน ส่วนทางด้านฝ่ายตะวันตกเสรีนิยมนั้น ก็จะปรับกระบวนยุทธ์เพื่อให้นักการเมืองและพรรคการเมืองตอบสนองประชาชนพลเมืองเป็นหลัก แทนที่จะพึ่งพาและตอบสนองผลประโยชน์ของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่
ในช่วงนี้ก็มีผู้นำหลายประเทศก็อยากจะเดินตามแนวทางของจีน แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะไม่ได้คิดและมองข้ามไปก็คือ จะสามารถสร้างพรรคการเมืองที่มีจำนวนสมาชิกในจำนวนมากๆ ได้หรือไม่ และจะมีอะไรเป็นอุดมการณ์ร่วม ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเขาทำได้ ก็เพราะเขามีฐานเป็นเกษตรกรผู้ยากไร้สนับสนุนและให้ความร่วมมือแต่แรกเริ่ม แถมเขามีอุดมการณ์คอมมิวนิสต์จีนที่แน่ชัด และมีเป้าหมายในการขจัดอิทธิพลของฝ่ายตะวันตก รวมทั้งญี่ปุ่น และเขามีผู้นำที่เป็นที่ยอมรับของสมาชิก และที่สำคัญพรรคมีการปรับปรุงตัวเอง มีการปรับนโยบายและกระบวนยุทธ์อยู่ตลอดเวลา มีการให้การศึกษาและพัฒนาบุคลากรของพรรคอย่างต่อเนื่อง มีระบบจัดสมาชิกพรรคไปลงในตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบ ด้วยการผสมผสานระหว่างระบบแข่งขันและระบบคัดเลือก
ก็ต้องยอมรับว่าความมหัศจรรย์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็คือ มีสมาชิกถึง 95 ล้านคนจากจำนวนประชากรจีนทั้งประเทศ 1,400 ล้านคน เท่ากับ¼ โดยประมาณ ซึ่งหมายความว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถส่งสมาชิกไปประกบหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ ธุรกิจเอกชน สื่อมวลชน และองค์กรทางสังคมอื่นๆ ได้ทุกองค์กร คือ พรรคสามารถคุมประชาชนพลเมืองได้ในทุกระดับและอย่างทั่วถึงและบัดนี้ก็ยังมีเครื่องมือกลไกที่สำคัญคือ ระบบเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ ที่สามารถติดตาม สอดส่อง ตรวจตรา ประชาชนพลเมืองทุกคนได้ทุกเมื่อ และฉะนั้นจึงสามารถจัดตั้งระบบตรวจสอบให้คะแนนความประพฤติของพลเมืองจีนได้ทุกคน
ใครก็ตามที่อยากเป็นเผด็จการ หรืออยากให้พรรคของตนเองเป็นเผด็จการ ก็ต้องนำเอาเรื่องของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งหมดนี้มาพิจารณาให้ดี จะแค่อยาก จะแค่เพ้อฝัน ก็คงไม่ได้มาง่ายๆ
ดังนั้น หากหันไปเอาสิงคโปร์เป็นตัวอย่าง ก็อาจจะเป็นไปได้มากกว่า นั่นคือผู้นำทางการเมืองและข้าราชการประจำทุกคนใสสะอาด โปร่งใส รับผิดชอบ
ต่อการกระทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และทุกลมหายใจของเขาคือเพื่อประเทศสิงคโปร์ และเพื่อประชาชนชาวสิงคโปร์
นั่นจึงทำให้ชาวสิงคโปร์ไม่ต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวเหมือนชาวจีนในผืนแผ่นดินใหญ่ ทั้งที่ชาวจีนและชาวสิงคโปร์ต่างก็อิ่มท้องเช่นกัน
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี