ต้องยอมรับว่า โครงการคนละครึ่ง ในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์เป็นโครงการยอดฮิต
แยบยลในการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่การช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพ และฟื้นฟูเศรษฐกิจของผู้ประกอบการคนตัวเล็กตัวน้อยด้วย
1. คุณสมคิด จิรานันตรัตน์ “Chao Jiranuntarat” หนึ่งในทีมดูแลระบบการลงทะเบียนให้กับโครงการของรัฐหลายโครงการ ได้วิเคราะห์จุดแข็งของโครงการคนละครึ่ง ระบุว่า
“โครงการคนละครึ่ง เป็นโครงการรัฐที่คนยอมรับกับทั่วหน้าว่าประสบความสำเร็จ โดยผมคิดว่ามีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
1. มีร้านค้าขนาดเล็ก รวมทั้งแม่ค้าตลาดสด ข้างถนน แห่มาร่วมจำนวนมาก และทำให้ร้านค้าเพิ่มยอดขายขึ้นพอสมควร
2. ประชาชน ทุกหมู่เหล่า ยากดี มีจน เด็กจนถึงแก่เฒ่าเข้าร่วมโครงการ และเห็นประโยชน์ว่าค่าครองชีพลดลง
3. การกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้ผลดีระดับหนึ่ง มีการใช้จ่ายมากขึ้น มีเงินหมุนเวียนในหมู่คนตัวเล็กมากขึ้น
4. การใช้เทคโนโลยีเข้าถึงรากหญ้า ลบคำปรามาสว่าคนแก่ คนจนเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี
5. ระบบเป๋าตัง และถุงเงินที่ใช้รองรับคนละครึ่ง สามารถรองรับคนจำนวนมากกว่า 30 ล้านคน มีจำนวนรายการมากกว่า 20 ล้านรายการต่อวันได้โดยไม่มีปัญหา
6. เป็นโครงการที่ใช้เทคโนโลยีตอบโจทย์นโยบายได้อย่างดี สามารถใช้ควบคุมการใช้เงินต่อคน ต่อวันได้ โดยออกแบบให้คิดแบบ realtime ในเวลาเสี้ยววินาที
7. เป็นโครงการที่ออกแบบและดูแลโดยคนไทย 100% ไม่มีต่างชาติแม้แต่คนเดียว การพัฒนาและปรับปรุง มีความรวดเร็วและคล่องตัว เนื่องจากสามารถคุมทีมได้ทั้งหมด
8. การต่อยอดโครงการคนละครึ่ง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง และนำประเทศไทยเข้าสู่ cashless สามารถทำได้อย่างแน่นอน แต่ต้องมีแนวนโยบายที่สอดคล้อง และมองภาพระยะยาวได้
จากผลที่เกิดขึ้นทั้ง 8 ข้อ ผมขอยกความดีความชอบให้คน 3 กลุ่ม คือ
(1) การออกนโยบายคนละครึ่งเน้นร้านค้าขนาดเล็ก ช่วยคนตัวเล็กแม้ใช้จ่ายที่ร้าน 7/11 ก็ไม่ได้ ทำให้ประโยชน์เกิดกับคนตัวเล็กซึ่งผมขอชมคนออกนโยบายที่ยอมถูกร้านค้าขนาดใหญ่ค่อนขอด ว่าทำยอดขายเค้าลดลง แต่ก็ยืนแนวทางนี้ตลอดมา
(2) กระทรวงการคลัง โดยสศค.โดยคุณลวรณ แสงสนิท และน้องอุ๋ยผอ.สศค.ในขณะนั้น (ตอนนี้เป็น อธิบดี กรมบัญชีกลาง ยินดีด้วยนะจ๊ะ)และทีมงาน ที่คิดภาพรายละเอียด และเข้าใจทั้งด้านนโยบายและภาคปฏิบัติ ไม่มีลับลมคมใน ทุกอย่างตรงไป ตรงมา
(3) ธนาคารกรุงไทย ที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง พัฒนาเทคโนโลยี และดูแลด้านปฏิบัติการอย่างดี จนระบบเข้าที่เข้าทาง ขอบคุณน้องๆ ทั้งวรรณ โบและอีกหลายๆคนที่อดหลับอดนอน และทนฟังความจู้จี้ จุกจิกของพี่ได้ตลอด การแก้ปัญหาหลายครั้ง ต้องแก้ทั้งคืน เพื่อให้ระบบมีความพร้อมที่สุด
คนมักไม่เข้าใจ ว่างานบางอย่าง ต้องใช้แรงเยอะ จึงจะทำให้เกิดได้ โดยคนออกนโยบาย ไม่เข้าใจภาคปฏิบัติ และให้ทำในเรื่องที่น่าจะสามารถปรับวิธีที่ทำให้การปฏิบัติเป็นไปได้ หลายครั้งไปฝืนทำจนเกิดปัญหา แล้วก็มาโทษกันไปมา ดังนั้นการเชื่อมโยงนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ได้เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง และผมดีใจที่โครงการคนละครึ่ง ไม่มีนักการเมืองเข้ามาจุ้นจ้านมากนัก แต่ก็ประสานแนวนโยบายและภาคปฏิบัติไปด้วยกันได้ดีงานจึงเดินไปได้ และประสบความสำเร็จดังกล่าว”
2. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 (ล่าสุด)
มีผู้ใช้สิทธิสะสมจำนวน 26.35 ล้านราย จากผู้ได้รับสิทธิจำนวน 27.98 ล้านราย
มีจำนวนผู้ใช้สิทธิครบ 4,500 บาท แล้วกว่า 10.87 ล้านราย
ยอดการใช้จ่ายสะสมรวม 223,921 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายสะสม 113,936 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 109,985 ล้านบาท
ยอดใช้จ่ายสะสมแบ่งตามประเภทตามร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 88,712 ล้านบาท ร้านธงฟ้า 36,037 ล้านบาท ร้าน OTOP 10,843 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 84,160 ล้านบาท ร้านบริการ 3,900 ล้านบาท และกิจการขนส่งสาธารณะ 267 ล้านบาท
3. มาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 ปี 2564 มี 4 โครงการ
ประกอบด้วย โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 3, โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ, โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้
มีผู้ใช้สิทธิสะสมทั้ง 4 โครงการรวม 41.5 ล้านราย
ยอดใช้จ่ายสะสมทั้งหมด 254,281 ล้านบาท
2.1 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3มีผู้ใช้สิทธิสะสมประมาณ 13.55 ล้านราย โดยมียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 24,010 ล้านบาท
2.2 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ผู้ใช้สิทธิสะสมประมาณ 1.51 ล้านราย โดยมียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 2,183.3 ล้านบาท
2.3 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสมจำนวน 26.35 ล้านราย จากผู้ได้รับสิทธิจำนวน 27.98 ล้านราย ยอดการใช้จ่ายสะสมรวม 223,921 ล้านบาท
2.4 โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีประชาชนผู้ใช้สิทธิสะสมจำนวน 91,952 ราย จากผู้ได้รับสิทธิจำนวนกว่า 4.9 แสนราย โดยมียอดใช้จ่ายสะสมส่วนประชาชน 3,827 ล้านบาท มีมูลค่าการใช้จ่ายสะสมที่นำมาคำนวณสิทธิ e-Voucher 3,064 ล้านบาท และคิดเป็นมูลค่าสะสม e-Voucher ทั้งสิ้นกว่า 353 ล้านบาท และมูลค่าการใช้จ่ายสะสมส่วน e-Voucher 339 ล้านบาท และมียอดใช้จ่ายสะสมรวมส่วนประชาชนและ e-Voucher แบ่งตามประเภทตามร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 197.6 ล้านบาท ร้านธงฟ้า 214.4 ล้านบาท ร้าน OTOP 441 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 3,167.6 ล้านบาท และร้านบริการ 146 ล้านบาท
4. ล่าสุด นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงการคลังยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดการดำเนินโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 อาทิ จำนวนสิทธิที่จะเข้าร่วมโครงการ วันแรกที่จะเปิดรับลงทะเบียน ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเปิดรับลงทะเบียนได้ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2565 และสำหรับวันเริ่มใช้สิทธิโครงการคาดว่าจะอยู่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้น
นับว่า โครงการคนละครึ่ง เป็นไอเดียสร้างสรรค์มาตรการจากภาคการเมืองที่ได้รับเสียงชื่นชม ประชานิยม และเหมาะสมกับสถานการณ์อย่างยิ่ง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี