พวกเราชาวไทยส่วนใหญ่ต่างก็นับถือศาสนาพุทธ โดยการเป็นชาวพุทธของเราโดยทั่วไปนั้น มักจะเป็นไปใน 2 รูปแบบ นั่นก็คือ 1.การเป็นชาวพุทธตามขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม และ 2.การเป็นชาวพุทธด้วยการมีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมคำสั่งสอน มีวินัยกับตนเองด้วยการถือศีล และทำทาน การหาความสงบในจิตใจด้วยการฝึกฝนสมาธิและวิปัสสนา เพื่อบรรลุซึ่งความแจ่มแจ้งและหลุดพ้นจากอวิชชา อารมณ์ชั่วครู่ชั่วยาม และความทุกข์ยากทั้งหลายทั้งปวง
คงไม่ผิดนักหากจะพูดว่า ชาวพุทธส่วนใหญ่ในวันนี้นั้น เป็นชาวพุทธตามขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม โดยไม่เว้นว่างต่อขนบธรรมเนียมปฏิบัติ เช่น การทำบุญตักบาตร การบริจาคทำการกุศล การจัดพิธีสวดฉลองวันเกิด และการจัดสวดเพื่อไว้อาลัยต่อการสูญเสีย ไปจนถึงการจัดทำพิธีสวดเพื่อขึ้นบ้านใหม่ หรือเริ่มกิจการการงานใหม่ นอกจากนั้น ก็ยังขอให้พระภิกษุสงฆ์ให้ศีลให้พร รดน้ำมนต์ เป่ากระหม่อม เจิมหน้าผาก แจกผ้ายันต์กันผี ดูฤกษ์ดูยาม แม้กระทั่งตั้งชื่อและนามสกุล ไปจนถึงพิธีการเป่าขจัดรังควาน ซึ่งก็ส่งผลให้ชาวพุทธไทยต่างไม่ห่างวัดวาอารามและพระภิกษุสงฆ์ แถมยังมีเมตตาช่วยเหลือผู้ยากไร้ และทำนุบำรุงวัดวาอาราม และการศึกษาของพระภิกษุสงฆ์ และสามเณร กันเป็นอย่างปกติ
ในตอนค่ำก่อนนอน เราก็มักจะสวดมนต์ และเราก็บูชากราบไหว้พระพุทธรูปทั้งที่บ้านและที่วัดวาอาราม เพื่อขอพร ขอการปกป้องคุ้มครอง อีกทั้งยังจะให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำการที่ดีงามและภาวนาขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่นและก้าวหน้า
ที่กล่าวมาดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องนอกกาย เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพิธีกรรม เสริมด้วยการบูชากราบไหว้ขอพรดังกล่าว ซึ่งก็ไม่ได้ผิดแปลกแต่อย่างไร ซึ่งก็คงจะมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความสงบให้กับตนเอง ช่วยเตือนสติตัวเองได้บ้าง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ หรือวัตถุใดๆ ที่จะมาช่วยตัวทุกๆ คนได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตามหลักพุทธนั้น ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเป็นสำคัญ ก็คือการดำเนินชีวิตที่มีสติ ตื่นรู้ ทุกขณะ เพื่อให้มีการกระทำที่เป็นกุศล และละเว้นทั้งความคิดและการกระทำใดๆ ที่เป็นอกุศล และชำระล้างจิตใจให้ขาวสะอาด
ในภาพกว้างแล้ว แวดวงชาวพุทธพูดจากันมากมายทั้ง เรื่องกรรม เรื่องการเกิดแก่เจ็บตาย และการตายแล้วไปเกิดใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่สืบทอดกันมาจากชมพูทวีปตั้งแต่สมัยก่อนสมัยพุทธกาล ก็ไม่ถือว่าผิดแปลกแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องที่ศาสนาพุทธได้รับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อถือ แต่ชาวพุทธจะต้องไม่ลืมเรื่องที่เป็นแก่นแท้และหัวใจของพุทธศาสนา ก็คือเรื่องอริยสัจ 4 ที่เป็นข้อเสนอแนะว่าด้วยเส้นทางแห่งการดำเนินชีวิต และหลุดพ้นจากความทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิด อีกทั้งพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดมาและได้ค้นพบความจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตน ไม่เที่ยง ไม่ถาวร และไม่สมหวังดังใจหรือเป็นทุกข์
นอกจากนั้น สังคมไทย ณ วันนี้ ก็มีปัญหาภายในคณะสงฆ์ และก็มีปัญหาในเรื่องศีลธรรม และการทำตนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างมากมาย จนเป็นที่น่าวิตก ก็เลยเป็นคำถามที่เราจะต้องถามตนเองว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะพัฒนาไปเป็นชาวพุทธตามพุทธรรม ด้วยการสะสางการเรียนการสอนในเรื่องพุทธศาสนา ทบทวนขีดความสามารถของภิกษุสงฆ์ในองค์ความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนา และขีดความสามารถในการที่จะเทศนาสั่งสอนและชี้แจงข้อธรรม เพื่อการปฏิบัติถูกต้อง
อย่างน้อยก็เป็นที่น่ายินดีว่า พุทธศาสนาได้แพร่ขยายเข้าไปในโลกตะวันตก และชุมชนโลกอื่นๆ มากขึ้นเป็นลำดับ โดยได้มีการชี้แจงแก่นแท้ของพุทธศาสนา ควบคู่กันไปกับการฝึกสอนเรื่องสมาธิวิปัสสนา เพื่อให้จิตใจสงบ มั่นคง และเปี่ยมด้วยปัญญา ว่าด้วยหลักคิดและเหตุผลของการมองโลก มองจักรวาล ที่มีตรรกะ และมีความเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากชาวตะวันตกเป็นอย่างดี บางคนนอกจากจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธแล้ว ยังข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศไทยเพื่อขอบวชเรียนและศึกษาธรรมกันเลย
ดังนั้น สังคมไทย ณ วันนี้ สมควรที่จะเริ่มทำการ 2 อย่างได้แก่
1.พัฒนาตนให้เป็นศูนย์กลางของการฝึกสอนเรื่องสมาธิวิปัสสนา
2.ทำการชำระการเรียนการสอนเรื่องพุทธศาสนาควบคู่ไปกับการฝึกสอนสมาธิวิปัสสนาให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
หากนำทั้งสองข้อมาเป็นวาระแห่งชาติเร่งด่วนแล้ว นอกจากจะเป็นการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปบนแผ่นดินไทยแล้ว ก็ยังจะมีอานิสงส์ส่งให้สังคมไทยให้อยู่ในศีลในธรรม เพื่อที่จะช่วยลดปัญหาทางสังคม และการเมืองลงไปได้ไม่มากก็น้อย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี