การอภิปราย และลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 19-23 กรกฎาคมนี้นั้นฝ่ายค้านต้องการ 239 เสียงเป็นอย่างต่ำเพื่อล้มรัฐบาล แต่สุดท้ายทำได้เพียง 205-206 เสียงเท่านั้น ส่งผลให้ข้อเสนอไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นอันตกไป ทำให้ฝ่ายรัฐบาลประยุทธ์ผ่านสันดอนสุดท้ายของวาระรัฐสภาที่ใกล้จะสิ้นสุดลงไปได้อย่างฉลุย สร้างความมั่นอกมั่นใจในการบริหารราชการแผ่นดินในวาระที่เหลือ และมีความพร้อมในการที่จะเข้าสู่สนามการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไปในต้นปีหน้า ไม่แปลกหากตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะชื่นชมตนเอง มีความมั่นอกมั่นใจในการเป็นผู้นำของตน และอยู่ในภาวะของความปีติยินดี
ทว่าภายหลังการสิ้นสุดของการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรดังกล่าวผ่านไปไม่กี่วัน ก็มีคณาจารย์ 4-5 คน จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และสถาบันนิด้า ได้ร่วมกันจัดเวทีทางเทคโนโลยีสื่อสารร่วมสมัย (Platform) เพื่อเชิญชวนและอำนวยให้ประชาชนพลเมืองที่มีความตื่นตัวและสนอกสนใจในเรื่องบ้านเมือง เข้าร่วมการออกเสียงลงคะแนนเพื่อแสดงความไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ต่อรองนายกรัฐมนตรี 2 คน และต่อรัฐมนตรีอีก 8 คน รวมเป็น 11 คน หลังจากที่ได้ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะ ผ่านทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์ สื่อสังคมและสิ่งตีพิมพ์ทั้งหลาย ผลปรากฏออกมาว่า มีประชาชนพลเมืองห้าแสนกว่าคน ใช้โทรศัพท์มือถือ และเครื่องไอแพดร่วมแสดงความคิดเห็นในการลงคะแนนเสียง เพื่อสะท้อนความนึกคิดและท่าทีต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐบาล โดยมีรายละเอียดน่าสนใจดังนี้
1. มีการร่วมโหวตทั้งหมด 524,806 โหวต โดยเป็นการโหวตที่สมบูรณ์ (คือลงมติครบทั้ง 11 คน) จำนวน 99%และมี 6,876 ครั้งที่เป็นการลงมติที่ไม่สมบูรณ์ (เทียบได้กับบัตรเสีย) ทั้งนี้ในการโหวตที่สมบูรณ์ มี 511,807 โหวตที่ลงมติในประเทศไทย
2. นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้ง 11 คน ต่างได้คะแนนไม่ไว้วางใจ มากกว่าคะแนนไว้วางใจ
2.1. รัฐมนตรีจำนวน 8 คนได้คะแนนไม่ไว้วางใจ 97%,คะแนนไว้วางใจ 3%
2.2. รัฐมนตรีจำนวน 3 คนได้คะแนนไม่ไว้วางใจ 96%,คะแนนไว้วางใจ 4%
3. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้คะแนนไว้วางใจสูงที่สุด 510,413 คะแนน รองลงมาคือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 508,833 คะแนน
ในการนี้สะท้อนให้เห็นว่า การตัดสินใจของผู้แทนราษฎรจำนวนประมาณ 271-272 คน (ซึ่งมาจากเสียงของประชาชนพลเมืองประมาณเกือบ 30 ล้านคน) ด้วยเสียงส่วนใหญ่ ที่ได้ให้ความเห็นชอบต่อผลงานการบริหารจัดการราชการบ้านเมืองของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ มีผลตรงกันข้ามกับการตัดสินใจของประชาชนพลเมืองห้าแสนคนดังกล่าว หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนพลเมืองอาจตัดสินใจลงมติ โดยมิได้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง สาระเนื้อหาของการอภิปราย หรือใช้จิตสำนึกเป็นตัวตั้ง หากแต่ดำเนินการไปตามมติของพรรค หรือคำสั่งของพรรคเป็นสำคัญ (มิได้ใช้เอกสิทธิ์ในการออกเสียงจากการเป็น สส.) ซึ่งก็อาจจะมีบ้างที่โหวตสวนทางกับมติพรรค แต่ก็เป็นเพียงจำนวนน้อย เป็นเพียงสีสัน และเมื่อดูในเชิงลึกแล้ว ก็เป็นการสวนทางเพื่อวัตถุประสงค์แฝงส่วนตน มากกว่าเพื่อส่วนรวม การกระทำเช่นนี้เสมือนเป็นวานรรอกินกล้วย ใครป้อนให้ก็พร้อมกระโดดไปทางนั้น ไม่ต่างกับการปฏิบัติตนเยี่ยงงูเห่าที่แอบอิงไออุ่น รอเวลาที่จะมีแรงฉกกัดผู้ที่ให้การอุปการะในยามยาก จะกล่าวว่าเป็นพวกมือปืนรับจ้างก็ไม่ผิดนัก
อย่างไรก็ดี การตัดสินใจลงคะแนนของประชาชนพลเมืองกว่า 500,000 คนดังกล่าว ที่แสดงว่าไม่พึงพอใจต่อการปฏิบัติตน และฝีไม้ลายมือในการบริหารราชการและนำพาประเทศของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถือเป็นคะแนนเสียงอิสระ ไม่มีใครไปบังคับ ไม่มีเรื่องคำสั่งพรรค ไม่มีเรื่องต่อรองผลประโยชน์ของต้นสังกัดไม่มีเรื่องอามิสสินจ้าง และความแค้นส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นผลงานอันบริสุทธิ์ จัดได้ว่าผู้คนกว่าครึ่งล้านคนนั้นเป็นพลังบริสุทธิ์ ที่รักและหวงแหนบ้านเมือง ต้องการให้การบริหารราชการบ้านเมืองเต็มไปด้วยความรับผิดชอบและความโปร่งใส เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
บัดนี้สาธารณชนโดยทั่วไปก็ไม่สามารถเดาใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ว่าคิดอ่านอย่างไร จะเลือกเชื่อผลโหวตอันไหน ระหว่างเสียงของ สส. ตัวแทนของประชาชน กับเสียงของประชาชน ซึ่งหาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเอาข้อเรียกร้อง ท้วงติง ทั้งในและนอกสภาไปแก้ไขปรับปรุงในช่วงเวลาที่เหลือของวาระการเป็นนายกรัฐมนตรีนี้ ก็อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงอยู่บ้าง
แต่การที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะใช้ชัยชนะในสภา ที่ช่วยรักษาฐานันดรเดิม มาเป็นตัวตั้ง โดยไม่คำนึงถึงเสียงของประชาชน ก็ดูจะกระไรอยู่ จะอ้างแค่เสียงข้างมากในสภา ถูลู่ถูกังกันไปก็คงไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงต่างๆ นานาและความเข้าอกเข้าใจของประชาชนพลเมืองก็บ่งบอกแน่ชัดแล้วว่า พวกเขาไม่พอใจกับวิธีการและผลของการบริหารราชการของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และบรรดาคณะรัฐบาล ซึ่งต่างไม่มีความเหมาะสม ทั้งในความประพฤติ และขีดความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่
เสียงประชาชนได้บอกแล้วว่า พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ต้องแก้ไขและปรับปรุงอย่างทันทีทันควัน ที่เหลือก็แล้วแต่นายกฯ ว่าจะฟังเสียงและเดินไปกับประชาธิปไตยแบบทางตรง หรือทางอ้อม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี