ในวันที่ 21 ตุลาคมนี้ จะมีตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่างลง 1 ตำแหน่ง เนื่องจากหมดวาระ และเป็นตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เคยเป็น 1 ใน 5 ของเสียงข้างมากที่ลงมติให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดปฏิบัติหน้าที่
ดังนั้นจึงมีการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนตำแหน่งที่ว่างลง ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่จับตามองกันว่ากระบวนการสรรหาจะเป็นประการใด และใครมีโอกาสที่จะได้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนตำแหน่งที่ว่างลง
นับถึงเวลานี้สื่อมวลชนได้รายงานข่าวว่ามีผู้ไปสมัครเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียงท่านเดียว จึงเป็นที่จับตามองว่าผู้สมัครดังกล่าวอาจจะได้รับเลือกเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างลง
ผู้สมัครเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวนั้นเป็นใคร เท่าที่ติดตามข่าวสารอาจสรุปได้ดังนี้
ข้อแรก ท่านเป็นกรรมการกฤษฎีกามาก่อน และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษที่ได้รับการแต่งตั้งให้พิจารณาข้อปรึกษาว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปีแล้วหรือไม่
ซึ่งการแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษนี้กำลังมีปัญหาถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นการทำผิดกฎหมายและระเบียบแบบแผนหรือไม่ โดยฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นข้อหารือในปัญหาส่วนตัวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าได้ดำรงตำแหน่งครบ 8 ปีแล้วหรือไม่ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เห็นว่าเป็นข้อปรึกษาในทางราชการจึงกระทำได้ปัญหานี้ก็จะต้องติดตามกันต่อไปว่ายุติอย่างไร หรือว่าจะต้องส่งให้องค์กรอิสระที่มีหน้าที่รับผิดชอบพิจารณาวินิจฉัย
แต่ที่สังคมตั้งข้อสงสัยมากที่สุดก็คือการตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษนั้นเกิดขึ้นหลังจากฝ่ายค้านได้อภิปรายในสภาฯว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี ในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ซึ่งฝ่ายค้านจะดำเนินการเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเรื่องนี้
หลังจากนั้นมือกฎหมายของรัฐบาลก็ออกความเห็นต่อสื่อมวลชนว่าไม่ครบ 8 ปี เพราะต้องนับเวลาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับ
ดังนั้นจึงมีการตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษ ซึ่งมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ทำหน้าที่เป็นประธาน และมีมติว่าต้องนับเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับและต่อมาก็ได้ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการชี้แจงทั้งต่อสาธารณะและต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าต้องนับเวลาเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับ
ต้องทำความเข้าใจว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษนั้นไม่มีฐานะและไม่เหมือนกับที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาในการพิจารณาปัญหาสำคัญต่างๆ ซึ่งต้องตั้งองค์คณะจากผู้พิพากษาของศาลฎีกาทั้งหมด
แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษนี้โดยทั่วไปจะมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ทำหน้าที่เป็นประธานและมีกรรมการอื่นอีก 6-7 คน จนบางครั้งก็ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นคณะพิเศษที่ต้องรับนโยบายอย่างใดอย่างหนึ่งมาหรือไม่ ซึ่งสังคมก็ติดตามเรื่องนี้อยู่
ข้อสอง ท่านผู้สมัครรายนี้เคยเป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน และเคยเข้าประชุมการทำเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 158 วรรคสี่ เกี่ยวกับการนับเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ร่วมกับนายมีชัยฤชุพันธุ์ และกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษด้วย
ปรากฏตามรายงานการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญครั้งที่ 500 ซึ่งพิจารณาเรื่องการนับเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และที่ประชุมมีมติตามข้อเสนอของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ และรองประธานว่าต้องนับช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับ คือต้องนับเวลาตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 ซึ่งเป็นวันที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งด้วย
รายงานการประชุมครั้งที่ 500 ได้ถูกรับรองความถูกต้อง โดยการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 501 และรายงานการประชุมดังกล่าวนั้นได้ผ่านการตรวจสอบโดยอนุกรรมการตรวจสอบรายงานการประชุมที่มีอดีตประธาน กกต. เป็นประธาน
ดังนั้นจึงเป็นที่ยุติโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ว่าการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเรื่องเจตนารมณ์ของมาตรา 158 วรรคสี่ ต้องนับเวลาการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งคือ 24 สิงหาคม 2557
ดังนั้นการมาเปลี่ยนความคิดเห็นในฐานะที่เป็นกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ จึงทำให้เกิดความกังขาแก่สังคม
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในลักษณะพวกพ้องในคณะกรรมการกฤษฎีกา ในคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ในคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษว่าเป็นประการใด
เพราะเหตุนี้จึงเป็นที่จับตากันอย่างกว้างขวางว่าผลการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นประการใด
เพราะคุณสมบัติสำคัญของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้นต้องเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีความรู้และความสามารถเกี่ยวกับกฎหมายและการปฏิบัติหน้าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมและเป็นหลักเป็นฐานที่เชื่อถือได้
ดังนั้นการตรวจสอบคุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้จึงเป็นที่จับตามองชนิดตาไม่กะพริบ และพฤติกรรมตลอดจนการกระทำที่ผ่านมานั้นคงจะถูกหยิบยกพิจารณาโดยไม่ต้องสงสัยเลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี