นักการเมืองฝ่ายค้าน นักการเมืองฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตย นักกิจกรรมสามนิ้ว พากันออกมาบูลลี่ ด้อยค่า แดกดัน เสียดสี จิกหัวด่านายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณีแนะนำการเตรียมแผนสำรองฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยพูดถึงการใช้วิทยุทรานซิสเตอร์ว่า
“หากเกิดปัญหาระบบมันล่มทั้งหมด การสื่อสารแจ้งข้อมูลจะทำได้ลำบาก อาจจะต้องไปใช้วิทยุทรานซิสเตอร์ในการออกอากาศแจ้งเตือนประชาชนได้อีกทาง ซึ่งเคยใช้กันเมื่อปี 2554 เพราะตอนนั้นไฟฟ้าดับหมด ดังนั้น เราต้องเตรียมแผนตรงนี้ไว้ด้วยในกรณีที่อาจจะเกิดปัญหา” - นายกฯ พลเอกประยุทธ์กล่าว
คนเหล่านั้น ดาหน้าปั่นข้อความด่านายกฯ ว่าโง่บ้าง ปัญญาอ่อนบ้าง ฯลฯ
แล้วคนเหล่านั้น ก็อวดฉลาดอย่างคนโง่ๆ ที่หลงคิดว่าตนเองฉลาด เช่น บอกว่าทำไมไม่ใช้มือถือ ไม่ใช้เอสเอ็มเอสไม่แจ้งผ่านเนต ผ่านแอป ฯลฯ
ทั้งๆ ที่ การให้เตรียมใช้ทรานซิสเตอร์นั้น คือ แผนสำรองกรณีไฟฟ้าดับ ไม่มีที่ชาร์จแบตมือถือแล้ว ทีวีดูไม่ได้ เครื่องใช้ไฟฟ้าใช้ไม่ได้ ระบบส่งสัญญาณมือถือล่ม ใช้เนตใช้อะไรไม่ได้แล้ว แต่วิทยุทรานซิสเตอร์สามารถรับข่าวสารได้ ผ่านคลื่น AM โดยใช้แบตจากถ่านไฟฉาย ซึ่งชาวบ้านในต่างจังหวัดคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว และหลายบ้านก็ยังมียังใช้กันอยู่ จึงให้เตรียมการแจ้งข่าวสารเพื่อความช่วยเหลือผ่านช่องทางนี้ เป็นกรณีแผนสำรอง
1. ตั้งสติ คิด ใครกันแน่โง่?
แล้วที่เลวร้าย คือ โง่แล้วมันอวดฉลาด ด้วยการมาดูหมิ่นด้อยค่าคนที่ตั้งใจทำงานเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน
2. ในต่างประเทศ ญี่ปุ่น สหรัฐ ยุโรป เขาก็ใช้วิทยุทรานซิสเตอร์เมื่อเกิดภัยพิบัติ
ในถุงนิรภัย หรือถุงเพื่อยังชีพยามภัยพิบัติ จึงมีวิทยุทรานซิสเตอร์อยู่ในถุงด้วย เพื่อรับข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นจากทางการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3. ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี - PMOC ให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจว่า
“...การวางแผนสำรองฉุกเฉินภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายถึงขีดสุด (Worst-Case Scenario) คือแนวคิดที่ใช้ในการบริหารความเสี่ยงของนักบริหารเชิงกลยุทธ์ใช้ในการวางแผนรับมือกับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงซึ่งรวมไปถึงภัยพิบัติต่างๆ โดยพิจารณาผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดที่เป็นไปได้ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือ มีจุดมุ่งหมายในการลดความเสียหายให้ต่ำที่สุดได้อย่างทันท่วงที...
ในการบริการจัดการภัยพิบัติ การสื่อสารเพื่อการเตือนภัยแก่ประชาชนเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาชีวิตของพี่น้องประชาชน การจัดเตรียมการเตือนภัยในรูปแบบต่างๆ ให้พร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เลวร้ายถึงขีดสุด ระบบไฟฟ้าในพื้นที่ประสบภัยล้มเหลว “การสื่อสารผ่านระบบคลื่นวิทยุ (Radio Wave)” คือทางเลือกที่ทุกประเทศเลือกใช้ เนื่องจากเป็นวิธีการสื่อสารที่สามารถกระจายสัญญาณออกไปได้ไกลที่สุด โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางอย่างสายเคเบิล (Cable) หรือสายใยแก้วนำแสง (ไฟเบอร์ออฟติก; Fiber Optic)
แม้ในเหตุการณ์ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ พ.ศ. 2554 รัฐบาลญี่ปุ่นก็เลือกใช้ระบบคลื่นวิทยุในการสื่อสารกับประชาชนของเขาเช่นกัน
สำหรับ “เครื่องรับวิทยุ” (Radio Receiver) นั้น หลายคนยังติดปากคำ “วิทยุทรานซิสเตอร์” เนื่องจากเครื่องรับวิทยุในยุคเริ่มแรกนั้น ใช้ “ทรานซิสเตอร์” เป็นองค์ประกอบสำคัญในวงจรแปลงสัญญาณวิทยุให้เป็นเสียง แต่ด้วยการพัฒนาของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้ในปัจจุบัน ผู้ผลิตหันไปผลิตวิทยุที่ใช้ “วงจรรวม (Integrated Circuit; IC)” ที่มีราคาถูกกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่ากันหมดแล้ว แต่คนไทยหลายคนยังคงติดปากเรียกว่า วิทยุทรานซิสเตอร์
...รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสำคัญกับการวางแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมาตลอด ทำให้ส่วนราชการและหน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของไทยมีแผนงานรองรับการบรรเทาสาธารณภัยที่ดีเพียงพออยู่แล้ว ทำให้นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องสั่งการอะไรเป็นพิเศษ เพียงย้ำเตือนถึงสิ่งสำคัญ เนื่องจากทุกแผนงานมีการเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้หมดแล้วภายใต้วิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี”
หากพิจารณาอย่างมีสติ จะเห็นว่า
ใครพยายามช่วยเหลือประชาชนที่ต้องเชิญกับภัยพิบัติอย่างตั้งใจ เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์?
กับใคร คนกลุ่มไหน ที่พยายามขัดแข้งขัดขา เล่นการเมืองน้ำเน่า ราวกับกอสวะลอยน้ำที่ขวางทางระบายน้ำ ไร้ประโยชน์ในการช่วยเหลือชาวบ้านโดยสิ้นเชิงในเวลาวิกฤต?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี