เป็นที่จับตามองกันว่า เส้นทางการเมืองในวันนี้และวันหน้าของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นอย่างไร
ปัจจุบัน-ไม่ต้องกังขา ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีได้จนครบวาระ ในวันที่ 24 มีนาคม 2566 แน่นอน ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ให้นับอายุวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ว่าครบ “8 ปี” เมื่อไหร่ โดยให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (ฉบับปี 2560) มีผลบังคับใช้ท่านจึงเป็นนายกฯ ในสมัยนี้ได้ครบสมัย และต่อสมัยหน้าได้อีกครึ่งเทอม
ที่น่าสนใจกว่า “วันนี้” จึงเป็น “วันหน้า” ของลุงตู่ครับ
โดยส่วนตัว ผมมองเห็นแค่ 3 ทางไป คือ
1.อยู่จนครบเทอม แล้วไปต่อกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
2.ยุบสภา แล้วไปต่อกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
3.อยู่จนครบเทอม หรือยุบสภา แต่ไม่ไปต่อ“ผมพอแล้ว ลาก่อน”
ว่ากันว่า ขณะนี้ กลิ่น “ยุบสภา” แรงมาก ลองจับสัญญาณจากพวก “จมูกมด” ทางการเมืองกันครับ
1) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊คระบุว่า อย่างที่เคยพูดไว้สมัยประชุมนี้ จะมีปรากฏการณ์ 2 เรื่อง เกิดขึ้น คือ1.สส. เริ่มลาออก 2.สภาล่ม วันนี้ ปรากฏการณ์ทั้ง 2 เรื่องเกิดขึ้นในวันเดียวกัน เหตุการณ์นี้ สะท้อนว่า
1.สภาไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เพราะประชุมไม่ได้ สส. อยู่ไปก็เปลืองเงินเดือนภาษีอากรของประชาชน
2.รัฐบาลไม่สามารถใช้สภาเป็นเครื่องมือในการออกกฎหมายได้อีกต่อไปแล้ว
*กลิ่นการยุบสภา จึงโชยมา...
2) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ค ทนายวันชัย สอนศิริระบุว่า สิ้นปี... สิ้นอำนาจ
ถ้าจะไล่เลียงปฏิทินการเมืองกับการนับถอยหลังแห่งอำนาจ มองดูแล้วเหลือเวลาอีกไม่นานเลย พฤศจิกายนนี้ก็มีประชุม APEC จากนั้นต้นเดือนธันวาคมถึงวันที่ 10 ก็เป็นวันชาติและเป็นวันรัฐธรรมนูญ จากนั้นก็เตรียมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เตรียมเที่ยวเตรียมพักผ่อน รัฐบาลและผู้มีอำนาจก็อยู่ในภาวะเช่นเดียวกัน สิ้นปีเตรียมสิ้นอำนาจเพราะใกล้จะเลือกตั้งเต็มที จะมีช้าหรือมีเร็วก็ไม่เกินเดือนมีนาคม 2566 เห็นมั้ยล่ะว่า อำนาจเก่ากำลังจะไป อำนาจใหม่กำลังจะมา และในสถานการณ์ที่เปิดสภาสมัยประชุมนี้ อุบัติเหตุทางการเมืองก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นได้เสมอ เลยจากการประชุม APEC ไป จะไม่มีใครไว้หน้าใคร แตกเป็นแตกหักเป็นหัก มุ่งหาอำนาจใหม่ นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้มีเรื่องได้ทุกขณะ
ที่ผ่านมาเรื่องสุราเสรีก็หวิดไปหวิดมา แต่ชี้ให้เห็นได้ว่าอำนาจมันเปราะบางเต็มที กู้ยืมเพื่อการศึกษาเสรีที่ผ่านมาก็ทุลักทุเล ทั้งกัญชาเสรีก็จะเปิดศึกรบกันหนักระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ชนวนระเบิดพร้อมที่จะเกิดขึ้น ทั้งเรื่องขายที่ดินขายชาติก็จะพลอยเป็นชนวนระเบิดที่ตามมาเป็นระลอก อาจต้องถอดสลักตีกรรเชียงหนี เรียกว่าสถานการณ์ทางการเมืองในสภาปลายสมัยจะอีนุงตุงนัง ร้อนระอุแรงขึ้น ที่หวังจะยืดอยู่ยาวก็อาจจะต้องยุบเสียก่อนก็เป็นไปได้ ยิ่งตอนนี้แต่ละพรรคกำลังจัดทัพรับศึกเตรียมไพร่พลลงเลือกตั้ง ที่ว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกันต่อไปนั้นดูจะไม่ใช่เสียแล้ว ปล่อยให้ตายกันไป แต่กำลังจะมีไพร่พลที่รอจังหวะฉวยโอกาสไปอยู่กับอำนาจใหม่ มิตรแท้และศัตรูถาวรจะมีให้เห็นก็ตอนใกล้เลือกตั้งนี่แหละ... หงายไพ่หรือเปิดถ้วยมาก็จะได้ฮาครืน...ทำไมมันเป็นอย่างนั้น
3) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวภายหลังพรรคสร้างอนาคตไทยเปิดว่าที่ผู้สมัคร สส. ภาคอีสาน 32 คน ใน 12 จังหวัด ว่า
การเมืองไทยหลังการประชุมเอเปกนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองเมื่อไหร่ก็ได้เพราะสิ่งที่สังเกตได้มาตลอดก็คือ หลังเอเปกน่าจะมีการตัดสินใจทางการเมืองหลายเรื่อง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นได้หลายลักษณะ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงในพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว หรือเกิดความชัดเจนทางการเมืองของกลุ่มการเมืองต่างๆ และมีโอกาสไปถึงการยุบสภาที่จะคืนอำนาจให้กับประชาชน โดยเฉพาะสิ่งที่ตนคิดว่าน่าจะเกิดได้ก็คือ เสียงในสภาที่เริ่มสะท้อนปัญหาถึงความเป็นเอกภาพ และปัญหาจากการประชุมสภา ซึ่งสิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นตอนปลายสมัยของรัฐบาล ดังนั้น คิดว่าหลังเอเปกเป็นสถานการณ์ที่น่าจับตา
เมื่อถามว่า ถ้ามีการยุบสภาจริง แต่กฎหมายการเลือกตั้งยังไม่เสร็จจะเป็นอุปสรรคในการเลือกตั้งหรือไม่นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า คิดว่าวันที่ 23 พ.ย. ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยสิ่งที่ได้มีการยื่นไว้ ตรงนี้น่าจะมีความชัดเจนถึงความพร้อมในการเลือกตั้ง คงต้องติดตามดูวันที่
23 พ.ย.นี้
4) นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ระบุข้อความว่า ด่วน 21 พฤศจิกายน 2565 หลังเอเปก เขาว่าเป็นวันฤกษ์ดี จะมี VIP สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีด้วย!!! จะเป็นใครก็ติดตามกันเอาเอง!!!!
แบบนี้ก็ฟันธงได้เลยว่าลุงป้อม และพลตำรวจเอกจักรทิพย์ จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ
นับเวลากันไปก็จะคำนวณได้ว่า เวลายุบสภาช้าที่สุดตรงกับวันไหน???
สิ่งที่ต้อง “วิเคราะห์” กันต่อ มีอะไรบ้าง เรามาค่อยๆ ไล่ไปทีละประเด็นกันเลยครับ
1.โอกาสที่ “สภาล่ม” จะเกิดขึ้นอีก เป็นไปได้มากครับ หากพรรคหลักฝั่งรัฐบาลขาดความรับผิดชอบและแตกแยกกัน ต้องเข้าใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่ได้เป็น สส. ไม่ได้เป็นสมาชิกสภา และไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดเลย ที่ผ่านมาท่านก็เล่นบทลอยตัวออกจากสภาและพรรคการเมือง มีปัญหาอะไรในสภา ท่านก็มักแสดงตนว่าท่านไม่เกี่ยว ในความเป็นจริงคือ ท่านเกี่ยวเพียงแต่ท่านควบคุมจัดการไม่ได้ เพราะพรรคพลังประชารัฐเขาก็ฟัง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณไม่ได้ฟังท่าน พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ เขาก็มีหัวหน้าพรรคของเขา และขณะนี้พวกเขาก็มีอาการกินแหนงแคลงใจกัน โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย มันทำให้สภาขาดเอกภาพของ “เสียงส่วนใหญ่” ซึ่งก็คือ เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสียงเกินครึ่งของสภานั่นเอง ถ้าฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลรับผิดชอบร่วมกัน 100% ไม่มีทางที่สภาจะล่ม ต่อให้ฝ่ายค้านตีรวนอย่างไร สภาก็ไม่ล่ม
2.น่าคิดว่า “สภาล่ม” ส่งสัญญาณอะไร
ในเมื่อหน้าที่ของสภา คือ “นิติบัญญัติ” มีกฎหมายให้ต้องพิจารณา แก้ไข ตราใหม่ ฯลฯ แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ แต่ละพรรคการเมืองแทบไม่เหลือกฎหมายที่ตัวเอง“ต้องการผลักดัน” กันแล้ว จะเหลือก็แต่เพียงพรรคภูมิใจไทยที่ยังต้องการผลักดัน พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ให้ผ่านเท่านั้น แต่ถ้าไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร เพราะออกโรงสื่อสารให้ประชาชนคล้อยตามอยู่ทุกวี่วันว่า ถ้าไม่ผ่าน ให้ไปถามพรรคประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ และเพื่อไทย เช่นเดียวกับฝ่ายค้านก็แทบไม่เหลือวาระที่จะต้องใช้สภา “เล่นงาน” หรือ “ตรวจสอบ” รัฐบาลอีกแล้ว ยุบก็ยุบ แต่ถ้าไม่ยุบ ก็คงจะขอเปิดอภิปรายเป็นการทั่วไปโดยไม่ลงมติ สร้างแผลตัวติดให้ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนลงสนามเลือกตั้งรอบใหม่
3.หลังการประชุมเอเปกจบลง และศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดว่า กฎหมายสองฉบับที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้งขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็เป็นอันว่า “ยุบสภา” ได้ ไม่มีใครอึดอัดกระฟัดกระเฟียดแน่นอน ขืนอยู่ต่อ ฝ่ายค้านก็ใช้สภาเป็นที่ซักฟอกกรีดเฉือน พล.อ.ประยุทธ์ และพวกต่อ ให้เป็นของมีตำหนิ เป็นที่น่ารังเกียจ อย่าไปสนับสนุน
4. มาดูเงื่อนไขของ “กฎหมาย” กันบ้าง
รัฐธรรมนูญได้บัญญัติวิธีการสังกัดพรรคการเมืองและเงื่อนเวลาเอาไว้ในมาตรา 97(3) ได้แก่ ว่าที่ผู้สมัคร สส. ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคการเมืองเดียว เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในกรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเพราะเหตุยุบสภา ระยะเวลา 90 วันดังกล่าว ให้ลดลงเหลือ 30 วัน คำว่า “นับถึงวันเลือกตั้ง” หมายความว่ากกต.กำหนดวันเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป ในวันใด ให้นับเวลาถึงวันนั้น ไม่ใช่นับถึงวันครบกำหนดอายุสภาวันที่ 23 มีนาคม 2566 อย่างที่พูดๆ กันในตอนนี้ เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 97(3) เขียนไว้ชัดเจนว่า ให้นับถึงวันเลือกตั้ง
ทีนี้ ถ้าย้อนกลับไปดูเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา กกต.กางแผนกำหนดวันเลือกตั้ง สส. กรณีรัฐบาลอยู่ครบวาระ ซึ่ง กกต. จะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45 วัน นับแต่วันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 102 คือ กำหนดแผนงานและเคาะไว้ เป็นวันที่ 7 พฤษภาคม 2566
ดังนั้น 90 วัน จนถึงวันนเลือกตั้ง คือ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 (7 กุมภาพันธ์-7 พฤษภาคม 2566) นั่นคือวันสุดท้ายที่ สส. จะย้ายพรรคกัน วันสุดท้ายจึงไม่ใช่ วันที่ 24 ธันวาคม 2565 (24 ธันวาคม 2565-24 มีนาคม 2566)
แต่ในขณะเดียวกัน กฎหมายยังมีกรอบ 180 วันนับถึงวันสิ้นอายุสภา รัฐธรรมนูญยังเปิดช่องให้ สส. เขตลาออก โดยไม่ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ ไม่ต้องเสียงบประมาณจัดการเลือกตั้งจาก กกต. ด้วย ล่าสุด จึงได้เห็นสส. เขตของพรรคก้าวไกล ประกาศลาออก และมีข่าวลือว่าจะย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย ซึ่งหากสภาล่มซ้ำๆ ซากๆ และ สส. เขต ที่จะย้ายพรรคเริ่มคิดว่า จะมาเสียเวลาอยู่ในสภาทำไม สู้ลงไปทำพื้นที่ให้เข้มข้นไว้ไม่ดีกว่าหรือ ก็มีโอกาสที่จะได้เห็น สส. ลาออกกันมากขึ้น และสภาก็จะมี สส. น้อยลง โดยไม่ต้องเลือกใหม่
5. หากเชื่อตามการปล่อยข่าวของนายไพศาลพืชมงคล ว่า จะมีวีไอพีไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ หลังจบประชุมเอเปก และหากเดาว่าวีไอพีท่านนั้นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ละก็ ไม่มีอะไรให้แปลกใจเลย เพราะมีข่าวลือหรือการคาดเดากันมาตลอด ตั้งแต่พรรครวมไทยสร้างชาติยังอยู่ในการจัดการของแรมโบ้อีสาน ก่อนจะเปลี่ยนมือมาอยู่กับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แล้ว
6.หาก “ลุงตู่” ทิ้งพรรคพลังประชารัฐ ไม่ยอมเล่นเกม“จากลุงตู่ สู่ลุงป้อม” ด้วย ก็ต้องมาลองวิเคราะห์ว่า โอกาสได้ “ไปต่อ” ของลุงตู่มีมากน้อยเพียงใด
พูดก็พูดเถอะ กระแสลุงตู่ไม่ได้สูงเหมือนการเลือกตั้งครั้งก่อน แขนขา มือไม้ ในมหาดไทยและกองทัพก็ไม่ได้จริงจังเท่าครั้งนั้นด้วย เช่นเดียวกับกระแสพรรคพลังประชารัฐที่ก็ไม่มี เพราะลุงตู่ไม่เคยเชิดชูพรรคพลังประชารัฐ นโยบายของพรรคไม่เคยนำมาเป็นนโยบายเด่นของรัฐบาลเลย ทั้งยังหมางเมินต่อกัน ระหองระแหง และยิ่งมีข่าวที่ชวนระแวง ว่า พลังประชารัฐโดยลุงป้อม หัวหน้าพรรค มีดีลกับ “คนแดนไกล” ลุงตู่ย่อมมีโอกาสที่จะ “หาพรรคใหม่” เพื่อ “ไปต่อ”
น่าคิดด้วยว่า ที่ผ่านมา “ลุงตู่” อุ้มพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคพลังประชารัฐแบก “ลุงตู่”
ไม่มี “ลุงตู่” ก็ไม่มีพลังประชารัฐ หรือไม่มีพลังประชารัฐ ก็ไม่มี “ลุงตู่”
สส. หลายคนในพลังประชารัฐเป็นพวก “มีแสงในตัวเอง” เป็นพวก “คุมพื้นที่อยู่” อยู่กับพรรคไหนก็ได้เป็น สส. เช่น กลุ่มสามมิตร
สส. อีกไม่น้อย ที่ได้มาเป็น สส. ในนามพรรคพลังประชารัฐ ก็เพราะอาศัยกระแสลุงตู่
รอบนี้หมดกระแสทั้งคู่ เหลือแค่ “บุญเก่า” ให้เก็บกิน
ในความเห็นผม หากลุงตู่จะย้ายมาอยู่กับ“รวมไทยสร้างชาติ” ก็นับว่า “คิดถูก” เพราะฐานคนที่เลือกลุงตู่ อยู่กับรวมไทยสร้างชาติและเขารู้สึก “สบายใจที่จะเลือก” มากกว่าอยู่กับพรรคพลังประชารัฐแน่ๆ
7. “ลุงตู่” ควร “ไปต่อ” หรือ “พอเถอะ”
หากมองสนามการเลือกตั้งทั้งสนาม ลุงตู่ควร“พอเถอะ” เพราะการมีลุงตู่อยู่ในสมการการเมืองต่อจะทำให้พรรคขั้วตรงข้าม อย่างพรรคเพื่อไทย และโดยเฉพาะพรรคก้าวไกล “เบาแรง” เพราะมี “สิ่งที่ต้องกำจัด” ให้แฟนคลับของเขาจับต้องได้เป็นรูปธรรมคือ “ช่วยกันลงคะแนนให้พรรคเรา เอาประยุทธ์ออกไป”สองพรรคนั้นหาเสียงง่ายแสนง่าย และมีโอกาสชนะด้วยเนื่องจากหากดูคะแนนเลือกตั้งครั้งที่แล้ว คะแนนหนุนของทั้งสองฝ่ายก้ำกึ่งกันมากผู้เลือกหน้าใหม่คงไม่มาเติมคะแนนให้ฝ่ายสลิ่มหรือฝ่ายอนุรักษ์นิยม ส่วนคนที่ไม่มีฝักไม่มีฝ่ายก็เบื่อหน่ายการบริหารจัดการของรัฐบาลปัจจุบันอยู่ไม่น้อย
โอกาสชนะของสองขั้ว พรรคอันดับหนึ่งของฝ่ายที่เคลมว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย (ทั้งๆ ที่โคตรเผด็จการและมีคนบงการ) คือ พรรคเพื่อไทย ส่วนฝ่ายอนุรักษ์นิยม คือ พรรคภูมิใจไทย ยังไงก็ตาม พรรคพลังประชารัฐกับพรรครวมไทยสร้างชาติที่ “ลุงตู่” จะสังกัด แทบไม่มีโอกาสเป็นเบอร์ 1 ในการจัดตั้งรัฐบาลเลย การยังมีอยู่ของลุงตู่ ก็เพียงแค่ช่วยแย่งคะแนนจากพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้และกรุงเทพฯ ออกมาเท่านั้น แต่ที่สำคัญ คือ เป็นแรงผลักดันให้คนอีกขั้วพร้อมเทคะแนนให้เพื่อไทยและก้าวไกลแบบ “สุดแรงเกิด”
ที่สำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯ ได้อีกแค่ 2 ปี
ใครจะฝากบ้านฝากเมืองไว้กับนายกฯ ครึ่งเทอม?
เปิดเทอมใหม่จะเป็นใครต่อ ลุงป้อม? พีระพันธุ์?
การเมืองในปัจจุบันจึงอยู่ในสภาพ แตกแยกและแหลกลาญ
สุดท้าย เพื่อไทยรวมกับภูมิใจไทย-ทิ้งก้าวไกลได้, หรือภูมิใจไทย-เพื่อไทย-พลังประชารัฐ ให้ประชาธิปัตย์กับก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน
พูดก็พูดเถอะ ผมมองไม่เห็นโอกาสที่ “ลุงตู่” จะได้กลับมาเป็นนายกฯ ต่อเลย
ดังนั้น ใช้เวลาสำคัญที่เหลืออยู่ให้ “ดีที่สุด” สำหรับ“บ้านเมืองของเรา” เถอะครับ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี