กรณีที่มีการเผยแพร่วีดีโอเรียกร้องให้ทางรัฐปัญหาหนี้สินรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ภาครัฐยังไม่ยอมจ่ายให้เอกชนคู่สัญญา ปรากฏเป็นข่าวฮือฮา
ทำให้ภาครัฐ ทั้งนายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และผู้ว่าฯชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เสียราคาความน่าเชื่อถือไปมาก
แฟนเพจ รถไฟฟ้าบีทีเอส ระบุข้อความว่า
“คนเราจะอดทนกับการแบกหนี้ได้นานแค่ไหน…
ทำงานแต่ไม่ได้เงิน ต้นทุนเพิ่มขึ้นทุกวัน…
ผู้มีอำนาจโยนไปโยนมา ไร้การตัดสินใจ ถึงเวลาเข้ามาจัดการปัญหา อย่าหนีปัญหา…
อย่าปล่อยให้เอกชนสู้เพียงลำพัง ถึงเวลาจ่ายหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว 40,000 ล้าน”
พร้อมแฮชแท็ก #ติดหนี้ต้องจ่าย
นอกจากนี้ วีดีโอยังถูกฉายตามสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส และตามป้ายโฆษณาในพื้นที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส
เนื้อหาอธิบายภาระที่ภาคเอกชนต้องแบกรับ ศาลปกครองตัดสินให้จ่ายค่าเดินรถแต่ภาครัฐก็ยังไม่จ่ายการโยนลูกกันไป-มาระหว่างรัฐบาลกับ กทม. การประกาศคำมั่นว่าจะไม่หยุดเดินรถที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน การขึ้นข้อความตอกย้ำ เช่น ติดหนี้....ต้องจ่ายหรือ ผู้มีอำนาจต้องรับผิดชอบ ฯลฯ
วันนี้ ลองสรุปคำถาม-ตอบ ปมแก้ปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว ดังนี้
1. ถ้ารัฐบาลทำตามข้อเสนอที่ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ทำหนังสือตอบมหาดไทย จะจบหรือไม่?
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เสนอให้รัฐบาลรับภาระค่างานโยธาที่รับมาจาก รฟม. ประมาณ 5.5 หมื่นล้านบาทค่าระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (ส่วนต่อขยาย 2) ประมาณ2 หมื่นล้านบาท
สองรายการข้างต้น รวมเป็นเงินประมาณ7.5 หมื่นล้านบาท
ลองคิดง่ายๆ ถ้ารัฐบาลพร้อมจะจ่ายเงิน7.5 หมื่นล้านบาทตั้งแต่ต้น แล้วจะต้องให้ไปเจรจาเอกชนเพื่ออะไร?
นายกฯ พลเอกประยุทธ์จะไม่รู้หรือว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่?
ตรงกันข้าม นายชัชชาติย่อมรู้หรือควรรู้ เพราะบอกว่าศึกษาปัญหา กทม.มากว่า 2 ปี ว่าปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียวมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องมากมายแค่ไหนเงื่อนไขสัญญาเป็นอย่างไร แต่กลับหาเสียงปั้นแต่งวาทกรรม เพื่อป้อนความหวังลมๆ แล้งๆ พ่วงการโจมตีทางการเมือง แล้วสุดท้าย พอนายชัชชาติมีอำนาจจริงๆ ก็ไม่สามารถทำได้ตามสัญญาหาเสียงเลย
ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ คำนวณว่า ถึงวันที่ 3 พ.ย. 2565 กทม. มีหนี้ (1) หนี้กับ BTSC เป็นค่าจ้างเดินรถและติดตั้งงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (รวมดอกเบี้ย) ประมาณ 46,000 ล้านบาท (2) หนี้กับ รฟม. เป็นค่างานโยธาส่วนต่อขยายที่ 2 (รวมดอกเบี้ย) ประมาณ 60,000 ล้านบาท รวมหนี้ทั้งหมดประมาณ 106,000 ล้านบาท
อีกทั้ง ยังมีภาระจากเวลานี้จนถึงปีสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน คือปี พ.ศ. 2572 อีกก้อนใหญ่ เนื่องจากการเดินรถสายสีเขียวส่วนต่อขยายจะขาดทุน
ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการตามคำสั่ง คสช. จึงเสนอให้ขยายสัมปทานสายสีเขียวส่วนหลักให้ BTSC เป็นเวลา 30 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2572-2602 เพื่อนำรายได้จากส่วนหลักมาชดเชยการให้บริการเดินรถส่วนต่อขยาย
การแก้ปัญหาโดยวิธีนี้ ผู้ว่าฯ กทม. คนที่แล้ว (ท่านผู้ว่าฯ อัศวิน) เห็นด้วย แต่ผู้ว่าฯกทม. คนปัจจุบัน (ผู้ว่าฯ ชัชชาติ) ไม่เห็นด้วย
สมมุติว่า ถ้ารัฐบาลยอมตามนายชัชชาติรับภาระกว่า 7 หมื่นล้านบาท สองรายการนั้นมาจริง ปัญหาก็ไม่จบ
กทม.จะเอาเงินจากไหนมาจ่ายเดินรถสายสีเขียวส่วนต่อขยายอีกหมื่นกว่าล้าน ตามที่ศาลปกครองพิพากษา? ยังไม่รวมดอกเบี้ย ยังไม่รวมค่าเดินรถสายสีเขียวฯที่มีเพิ่มขึ้นอีกทุกวัน หลังคดีแรก (พร้อมดอกเบี้ย)
โดยที่นายชัชชาติ ผู้ว่าฯ กทม. ยังไม่กล้าเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายสายสีเขียวเลยจนปัจจุบัน ทั้งๆ ที่ เป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหาร กทม.เองโดยตรง
ลองคิดดู สัมปทานส่วนหลักของสายสีเขียวจะสิ้นสุด 2572 (วาระของผู้ว่าฯ ชัชชาติจะสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2569)
แม้จะรอเปิดประมูลใหม่ ก็จะยังติดสัญญาเดินรถที่จ้างเอกชนถึงปี 2585
ที่สำคัญ ระหว่างนี้ จนถึงปี 2572 ดูแล้ว กทม.ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ให้ BTSC ได้แน่นอน
ตัวผู้ว่าฯ ชัชชาติอาจหมดสมัยไปก่อน แต่ กทม.จะติดหนี้หัวโต รวมดอกเบี้ยที่เพิ่มทุกวัน มหาศาล มโหฬาร ถึงวันนั้น คนที่รับผิดชอบคือใคร?
ผู้ว่าฯคนปัจจุบัน อาจเปิดก้นไปไหนแล้ว?
หากรัฐบาล นายกฯ พลเอกประยุทธ์ไม่ลงมือแก้ตาม ม.44 ประวัติศาสตร์จะบันทึกว่าเป็นความล้มเหลวด่างพร้อยหัวหน้า คสช.
2. การใช้มาตรา 44 ไม่ถูกต้อง ยอมรับไม่ได้จริงหรือ?
คสช. เคยใช้ ม.44 แก้ปัญหาผ่าทางตันมากมายเกี่ยวกับระบบรถไฟฟ้า
การเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างสถานีบางซื่อกับเตาปูน ที่ชาวบ้านเคยเดือดร้อนกันมาตั้งนาน ก็เรียบร้อยเพราะ ม.44
การต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินให้แก่ BEM เพื่อให้การเดินรถต่อเนื่อง ก็ใช้มาตรา 44ไม่ต่างกับสายสีเขียว
ดร.สามารถ เปรียบเทียบแนวทางที่คณะกรรมการตามคำสั่ง คสช. ให้ขยายสัมปทานส่วนหลักให้ผู้รับสัมปทานสายสีน้ำเงินและสายสีเขียว โดยมีเงื่อนไขดังนี้
(1) ระยะเวลาที่ขยายสัมปทานส่วนหลัก : ขยายสัมปทานสายสีน้ำเงินส่วนหลักให้ 20 ปี (2572-2592)สายสีเขียวส่วนหลัก 30 ปี (2572-2602) เนื่องจาก BTSC ผู้รับสัมปทานสายสีเขียวต้องรับภาระหนี้มากกว่า BEM ผู้รับสัมปทานสายสีน้ำเงิน
(2) ส่วนแบ่งรายได้ : BEM ไม่ต้องแบ่งรายได้ให้ รฟม.ตลอดช่วงเวลาที่ขยายสัมปทาน แต่ BTSCจะต้องแบ่งรายได้ให้ กทม.กว่า 2 แสนล้านบาท
(3) ค่าโดยสาร : BEM เก็บค่าโดยสารทั้งส่วนหลักและส่วนต่อขยาย 17-42 บาท คิดเป็นค่าโดยสารสูงสุดต่อกิโลเมตรเท่ากับ 1.62 บาท ส่วน BTSC เก็บค่าโดยสารทั้งส่วนหลักและส่วนต่อขยาย 15-65 บาท คิดเป็นค่าโดยสารสูงสุดต่อกิโลเมตรเท่ากับ 1.23 บาท
ผู้ว่าการ รฟม. ลงนามขยายสัมปทานสายสีน้ำเงินส่วนหลักให้ BEM เมื่อปี พ.ศ. 2560
แต่ผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบันไม่เห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาที่เสนอโดยคณะกรรมการตามคำสั่ง คสช. กลับเสนอให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนค่างานโยธาส่วนต่อขยายที่ 2
ทั้งๆ ที่ คำสั่งหัวหน้า คสช. ยังคงมีผลบังคับเป็นกฎหมาย ได้ผลการเจรจาเป็นที่ยุติ และร่างสัญญาร่วมลงทุนฉบับแก้ไขถือว่าเป็นไปตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน (เหมือนสายสีน้ำเงิน) สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว รอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ
3. ทางออกเรื่องนี้ ขอสนับสนุนแนวทางตามความคิดเห็นของ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ระบุว่า หากไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่เอกชนได้ ก็ควรต้องพิจารณาการขยายสัญญาสัมปทานให้แก่เอกชน จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“ถึงเวลาแล้วที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะต้องตัดสินใจนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม ครม. และไม่โยนเรื่องกลับไปให้กรุงเทพมหานครอีก เพราะจะทำให้เป็นการเเก้ปัญหาที่ไม่จบ และต้องพิจารณาถึงข้อเสนอของกทม. ว่ารัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็ต้องหาทางออกที่ดีที่สุดให้ทุกฝ่าย”
ไม่ใช่โยนเรื่องกันไป-มา หรือ โยนเรื่องกลับไปให้กทม.พิจารณา
ที่สำคัญ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคสช. ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ต้น ควรจะตัดสินใจได้แล้วว่าจะเดินหน้าเรื่องนี้อย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้เอกชนแบกรับปัญหามาถึง 3 ปี เช่นนี้
4. นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา มท.1 ในฐานะผู้มีอำนาจหน้าที่และต้องรับผิดชอบตามคำสั่ง ม.44 ที่มีสภาพบังคับเป็นกฎหมาย จะต้องทำอย่างไร?
ย้อนกลับไปพิจารณาข้อเสนอแนะของ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เคยให้คำแนะนำไว้ชัดเจน ว่าด้วยเรื่อง “รถไฟฟ้าสายสีเขียว #ทางออกของครม.”
อาจารย์ไตรรงค์เสนอให้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ครม.นั่นเอง หากจำเป็นต้องลงมติในที่ประชุม ครม. ก็สามารถทำได้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อน
ดังนั้น นายกฯ พลเอกประยุทธ์ ควรต้องแสดงภาวะผู้นำในการตัดสินใจแก้ปัญหา
อย่าปล่อยให้ปัญหาบานปลายไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นหายนะในประวัติศาสตร์
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี