ทักษิณ ชินวัตร และอุ๊งอิ๊ง ลูกสาว มีลักษณะเหมือนกันประการหนึ่งคือ “ช่างพูด” บ่อยครั้งที่พูดแล้วกลายเป็นปัญหา เช่นกันกับบริวารของพวกเขาก็มีทั้งประเภท พูดเก่ง
ผีเจาะปาก และปากรั่ว คละเคล้ากันไป จนเกิดภาวะ “โอษฐภัย” คือ ปากพาซวยไปด้วยกันทั้งนายทั้งบ่าว
1) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร สส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวทวงถามความคืบหน้ากรณีที่ตำรวจบุกเข้าจับกุมผับจินหลิง (คดีตู้ห่าว) บนถนนเจริญราษฎร์ เขตยานนาวา เปิดเป็นคาราโอเกะบังหน้าแต่มีบ่อนการพนัน พบยาเสพติดเป็นเฮโรอีน ยาอี และเงินสดหมุนเวียนอีก 1.3 ล้านบาท ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวจีนธุรกิจสีเทาของนายทุนจีนลักษณะนี้ มีทั้งในเขตยานนาวา รัชดาภิเษก ห้วยขวาง ที่พิเศษคือ มีการรับฝากยาเสพติดที่เสพไม่หมดไว้ที่ร้านเหมือนการฝากเหล้าอีกด้วย
ยุทธพงศ์กล่าวต่อว่า นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานนท์ (ตู้ห่าว) แปลงสัญชาติเป็นไทย ตนตั้งกระทู้ในสภาแต่ไม่มีใครตอบคือ ใครให้สัญชาติไทย ให้ด้วยหลักเกณฑ์อะไร
มีชื่อนายชัยณัฐร์ เป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคการเมืองหนึ่ง 3 ล้านบาท ซึ่งน่าสงสัยว่าเงินนี้มาจากการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ และใครพาคนนี้ไปบริจาคเงินให้พรรคการเมืองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะถ้าเขามีสัญชาติอื่นจะบริจาคเงินให้พรรคการเมืองไม่ได้ ที่ตำรวจจะต้องสืบให้ลึกลงไปกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อยเงียบหาย
ธุรกิจสีเทา การพนัน และยาเสพติด มีรากเหง้าปัญหามาจากส่วยทุจริต ซึ่งเวลามีปัญหาอย่างกรณีนี้ก็แค่ย้ายผู้กำกับสถานีตำรวจยานนาวาแค่คนเดียว แล้วก็ให้
รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 รักษาราชการแทน แล้วก็เกิดปัญหารองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ไปเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือนายหาว เจ๋อ ตู้ (ตู้ห่าว) ถูกร้องเรียกรับผลประโยชน์แลกปล่อยรถหรู แสดงให้เห็นว่าระบบส่วยทุจริตเต็มไปหมด ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน การแก้ปัญหายาเสพติด
2) หากย้อนดูไทม์ไลน์ที่เกิดขึ้นจะพบว่า วันที่ 3 สิงหาคม 2554 ตู้ห่าว ซึ่งเดิมมีสัญชาติจีน ชื่อของเขาอยู่ในทะเบียนบ้านพื้นที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิกรุงเทพมหานคร ยื่นคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทย กับกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ กรณีเป็นสามีของบุคคลสัญชาติไทย
วันที่ 22 เมษายน 2556 กองบัญชาการตำรวจสันติบาลส่งเรื่องให้กระทรวงมหาดไทย เมื่อตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารหลักฐานและคุณสมบัติของผู้ยื่น จากนั้นนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการขอแปลงสัญชาติเป็นไทย การขอถือสัญชาติไทยตามสามี และการขอกลับคืนสัญชาติไทย ในการประชุมครั้งที่ 2/2556 นายสถาพร ศิริภักดี รองอธิบดีกรมการปกครอง ระหว่างปี 2556 เป็นประธาน
ครั้งนั้น มีรองอธิบดีกรมการปกครองเป็นประธานผู้แทนกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ผู้แทนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนกรมการกงสุล ผู้แทนกรมการจัดหางาน ผู้แทนกรมสอบสวนคดีพิเศษ และผู้ทรงคุณวุฒิเป็นอนุกรรมการ
วันที่ 18 มิถุนายน 2556 นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2555-30 ก.ย. 2558 เป็นประธาน เสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติ ในการประชุมครั้งที่ 3/2556 มีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนกระทรวงแรงงาน ผู้แทนสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนสำนักข่าวกรองแห่งชาติผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดผู้แทนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร และผู้ทรงคุณวุฒิเป็นคณะกรรมการตามกฎหมาย
เพื่อเสนอแนะและให้ความเห็นประกอบการใช้ดุลพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้ดุลพินิจตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ พิจารณาอนุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นไทยได้ แล้วแจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตทำพิธีปฏิญาณตน และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
อย่างไรก็ตาม นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ระหว่างวันที่ 27 ต.ค. 2555-22 พ.ค. 2557 เป็นผู้พิจารณาอนุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นไทย และเขาเป็นรัฐมนตรีของ “พรรคเพื่อไทย” เอง!!
2) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ก “หัวใจไม่หยุดเต้น EP.58 “ในหัวข้อ” ปรับครม.ของพี่คนน้องคน ประชาชนไม่ได้อะไร ? โดยระบุตอนหนึ่งว่า สังคมไทยวันนี้กำลังติดตามจับตาความเป็นไปของ 2 เครือข่าย 1) เครือข่าย “ตู้ห่าว” 2) เครือข่าย “ตู่หาว”
เอาที่ “ตู้ห่าว” ก่อน ชายคนนี้เป็นคนสัญชาติจีน เข้ามาทำมาหากินมีครอบครัวในประเทศไทย ถ้าโปร่งใสตรงไปตรงมาไม่ว่ากันนะครับ แต่นี่เข้ามาทำธุรกิจใต้ดินกลิ่นไม่ดี มีพิรุธ และกำลังถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอยู่ในเวลานี้ เรื่องมันแดงขึ้นมาสาวไส้ออกมาก็ยิ่งเห็นภาพชัดว่ามันมีเครือข่ายอิทธิพลนอกระบบใหญ่โต ซึ่งขบวนการทุนข้ามชาตินอกระบบพวกนี้เข้ามาเดินยืดอยู่ในประเทศไทยได้มันมีเหตุผลเดียวเท่านั้นแหละครับเขาต้องมีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้มีอำนาจทางการเมืองและเครือข่ายกลไกรัฐ ซึ่งเครื่องมือเดียวที่จะทำให้สัมพันธภาพนี้ดีขึ้นมาได้ก็คือผลประโยชน์เป็นเม็ดเงิน
เฉพาะ “ตู้ห่าว” เครือข่ายเดียว มีการตรวจค้นมีการเจาะลึกทำให้คนไทยทั้งประเทศตกตะลึงว่า 8 ปีที่ผ่านมาของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งบอกว่าเป็นรัฐบาลคนดี เข้ามาปฏิรูปประเทศ จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด แล้วบ้านเมืองมาถึงวันนี้ได้ยังไง?
นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ล่ะครับ เพราะตลอดเวลา 8 ปีที่ผ่านมาเรายังนับไม่ถูกเลยว่าเครือข่ายใต้ดินพวกนี้เข้ามาแล้วสร้างความเสียหายให้กับประเทศไปแล้วขนาดไหน? ยาเสพติดเต็มบ้านเต็มเมืองทุกตรอกซอกซอย แต่คนพวกนี้กำลังยืนอยู่ในจุดบนสุดของสังคม มีเงินมีทองจับจ่ายใช้สอยได้ตามอำเภอใจ
พูดถึงเรื่องนี้ก็นึกถึงภาพย้อนหลังไปเราจะเห็นว่า “ตู้ห่าว”คนนี้ นอกจากทำมาหากินสีเทาใต้ดินแล้ว ยังเข้าไปเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการให้พรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้บริจาคเงินเข้าบัญชี มีหลักฐานในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเฉพาะที่มีหลักฐานก็สามล้านนะครับ แล้วใครจะกล้าฟันธงมั้ยว่าไม่มีการให้กันนอกระบบ ไม่มีการเติมเงินให้พรรคการเมืองนี้เอาไปใช้จ่ายในสนามเลือกตั้ง
นี่ไงครับ! คนพวกนี้ถึงเข้ามาก่อการอยู่ในประเทศไทยได้ แล้วพอพลังประชารัฐเป็นรัฐบาลมาสามปีกว่าๆ ที่เพิ่งด่ากันจบไปหยก ๆ ไงครับ กรณีรัฐบาลจะแก้ประกาศกระทรวงมหาดไทยให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ 1 ล้านดอลลาร์แล้วซื้อที่ดินได้ 1 ไร่ ถ้าผ่านไปบังคับใช้ ใครครับจะมาก่อน? ก็คนพวกนี้ไงครับ
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม หมู่บ้านหรู ๆ หลายแห่งในกรุงเทพมหานคร ราคา 30 ล้าน 60 ล้าน 100 ล้าน คนพวกนี้ยกโขยงกันมาซื้อยกโครงการ ที่ซอยลาซาล หมู่บ้านมี 66 หลัง เครือข่าย “ตู้ห่าว” และพวก ซื้อไปแล้ว50 หลัง โดยนอมินีเป็นคนไทย คอนโดบางแห่งซื้อยกชั้นยกสองชั้น ยกสามชั้น บ้านเดี่ยวบางหลังราคา 100 ล้าน ใช้นอมินีคนไทยไปเป็นผู้ซื้อ
นี่ถ้าชาวบ้านไม่ช่วยกันด่า เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเครือข่ายทุนสีเทานอกระบบเหล่านี้จะครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ในประเทศไทยไว้มากมาย ก็ให้นอมินีคนไทยซื้อต่อๆ กัน คนละไร่ ๆ 50 ไร่ 100 ไร่ เขาทำได้!
คนในรัฐบาลชุดนี้นอกจากจะกินเงินสกปรกจากขบวนการสกปรกแล้ว ส่อว่าคิดถึงขั้นจะขายแผ่นดินให้กับพวกใต้ดินด้วย!!!
3) ณัฐวุฒิ คงไม่รู้ หรือลืมเฉลียวว่า หนึ่งในหมู่บ้านที่ขบวนการตู้ห่าวไปซื้อชนิดเกือบจะเหมาทั้งหมู่บ้าน เป็นของ “เอสซี แอสเสท” ซึ่งอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นายสาวของเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
4) จึงมีชาวเนตเข้าไปคอมเมนต์เป็นจำนวนมากโดยส่วนหนึ่งได้ถามกลับนายณัฐวุฒิว่า รู้สึกตัวหรือยัง สงสัยยังไม่รู้ตัว ขุดเยอะๆ อย่าหยุดนะคะ, ลืมอ่านไลน์กลุ่มหรือครับ?, แล้วหมู่บ้านที่ซื้ออยู่เป็นของใครละในสมัยนั้น,วิเคราะห์ได้ตรงใจมาก, ขอบคุณมากๆ นะครับ ที่ขุดเรื่องนี้ทั้งที่คนเพื่อไทยเงียบทั้งพรรค ขุดต่อนะครับ คุณชูวิทย์ก็ให้รายละเอียดมากพอควร ขุดให้ถึงที่สุดนะครับ เอารายชื่อมาแฉเลยครับ ทุนพวกนี้มันชั่ว ขายชาติ, แอบหวังอยู่ว่าเต้นจะไม่ลบโพสต์นี้ทิ้งนะ รอให้ขุดเยอะไป ผลประโยชน์ได้กับประชาชน,ช่วยกันแชร์,
ขุดเยอะๆ นะครับพี่เต้น อยากรู้จังเลยเจ้าของหมู่บ้านบริษัทอะไร ถึงขายหมู่บ้านยกลอตให้จีนพวกนี้ 5555555, แฉเลยครับหัวหน้าเรื่องตู้ห่าวต้องเอาความจริงมาให้ประชาชนและสังคมมารับรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนช่วยตู้ห่าวในทุกๆ เรื่อง ยิ่งเรื่องสัญชาติด้วยต้องขุดให้ลึกว่าตู้ห่าวได้สัญชาติไทยรัฐบาลชุดไหนเป็นคนตรวจสอบคุณสมบัติแล้วทำเรื่องอนุมัติให้ตู้ห่าวได้สัญชาติไทยตู้ห่าวถึงได้เติบโตมามีเงินมีทองใหญ่โตจนถึงทุกวันนี้ หัวหน้าต้องตรวจสอบตั้งแต่ต้นเหตุ อย่ามาตรวจสอบปลายเหตุขุดให้ลึก ประชาชนจะได้รับรู้ถึงความเป็นจริง อย่างเรื่องหมู่บ้าน เรื่องคอนโดที่หัวหน้าพูดถึง หัวหน้าก็ต้องบอกเลยว่าเป็นหมู่บ้านของใครที่คนจีนไปซื้อด้วยเงินสดซื้อยกหมู่บ้าน ใครได้รับผลประโยชน์จากตู้ห่าวมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคนระดับหัวหน้าถ้าจะขุดถ้าจะแฉก็ไม่เป็นรองใคร อย่าหยุดขุดอย่าหยุดแฉนะหัวหน้า เอาความจริงมาให้ประชาชนได้รับรู้ สู้ๆ หัวหน้าความจริงก็คือความจริง เป็นต้น
5) เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ภาพข่าว กรณีตำรวจ ตม. เข้าตรวจค้น จับกุม “แก๊งมังกรจีน” พร้อมข้อความระบุว่า “#เรื่องนี้ต้องขยายผล ยังไงหนอ ตึกอดีต ม.ชินวัตร กลายเป็นที่ตั้งสมาคมฯของแก๊งมังกรจีน
- หลังจาก ตม.ออกปฏิบัติการกวาดล้างและจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับและบุคคลเฝ้าระวัง ตามมาตรการรักษาความปลอดภัยช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก 2022 จนพบข้อมูลบัตรประชาชนคนไทยคนหนึ่งมีหน้าตาตรงกับชาวต่างชาติใช้พาสปอร์ต 2 เล่ม จึงเชื่อว่าเป็นการสวมบัตรประชาชน และนำกำลังเข้าจับกุม พบผู้ต้องสงสัย เป็น “ชาวจีน”ชื่อว่า “เส้า เสี่ยวปอ” สวมบัตรประชาชนคนไทย เช่าตึกตกแต่งสุดหรูในย่านสุทธิสาร แถมติดภาพผู้นำโลกสร้างความน่าเชื่อถือในการเข้ามาทำธุรกิจ แถมใช้รถติดธงประจำชาติคล้ายรถสถานทูต มีรถตำรวจนำขบวน เชื่อเป็นรถปลอม
- หลังจากนั้น ตม.นำกำลังตำรวจตรวจคนเข้าเมืองนำหมายค้นศาลอาญา ที่ 1228/2565 ลงวันที่ 8 พ.ย. 2565 ปิดล้อมตรวจค้นภายในอาคารบีบีดี ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. หลังสืบทราบว่าสถานที่ดังกล่าวมีบุคคลสัญชาติจีนสวมบัตรประชาชนคนไทย โดยตามข่าวระบุว่า แก๊งมังกรจีน ได้มาเช่าตึกบีบีดี ตั้งสมาคมฯ
- มีการพบอาวุธปืน ชุดเครื่องแบบสวนสนามราชวัลลภ (ปลอม) ที่มีชื่อนาย เส้า เสี่ยวปอ รวมทั้งป้ายหน้าอาคาร ระบุว่า เป็น สมาคมพ่อค้าไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งข้อมูลจากคลังสารสนเทศของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พบเอกสารราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 พบว่า มีการระบุที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสมาคม เลขที่ 150/1 ถนนราชบพิธ แขวงราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นคนละที่กับอาคารที่ตำรวจเข้าตรวจค้นจับกุมนายเส้า เสี่ยวปอ แล้วพบรถสถานทูตปลอม ซึ่งเป็นอาคารตั้งอยู่ริมถนนวิภาวดีรังสิต ย่านสุทธิสาร อย่างไรก็ตามในเอกสารระบุอีกว่า “สมาคมอาจมีสาขาสมาคมในราชอาณาจักรได้โดยไม่จำกัดจำนวน” หมายความว่า อาคารย่านสุทธิสารที่ตำรวจตรวจค้น มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเป็นสาขาของสมาคมดังกล่าว แต่ประเด็นนี้ยังต้องรอการยืนยันอย่างเป็นทางการจากตำรวจ เบื้องต้นตำรวจจะดำเนินคดีตามหมายจับข้อหาแจ้งความเท็จฯ และปลอมบัตรประชาชน และหลังจากนี้ ตำรวจจะขยายผลตรวจสอบของที่พบทั้งหมด หากพบว่าเข้าข่ายความผิดเพิ่มเติม ก็จะมีการแจ้งข้อหาภายหลังต่อไป
- อาคารบีบีดี เป็นที่ตั้งของ วอยซ์ทีวี และ มหาวิทยาลัยชินวัตร (ของตระกูลชินวัตร) โดยตึกเก่า ที่เคยเป็น ม.ชินวัตร ถูกแปลงสภาพกลายเป็น สมาคมพ่อค้าไทยฯ ของนาย เส้า เสี่ยวปอ ส่วน วอยซ์ทีวี จะอยู่ตึกข้างๆ กัน
- อาคารบีบีดี เกี่ยวข้องยังไงกับตระกูลชินวัตร ก็พบว่า เป็นอาคารให้เช่าที่อยู่ในเครือธุรกิจของ บรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมของ พจมาน ชินวัตร นั่นเอง (https://www.isranews.org/conten.../item/30125-ban_30125.html)
- ส่วน ม.ชินวัตร นั้น ตระกูลชินวัตร ได้ขายกิจการไปแล้วเพราะเจ๊ง ขาดทุน โดยรายการเจาะลึกทั่วไทย InsideThailand ซึ่งออกอากาศไป เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 นำเสนอเรื่องเบื้องลึกกรณีตระกูล ชินวัตร ตัดสินใจขาย มหาวิทยาลัยชินวัตร ให้กับ กลุ่มทุนจีน ที่เข้ามาลงทุนมหาวิทยาลัยเอกชนในเมืองไทยมาแล้วหลายที่ เพราะ ขาดทุนติดต่อกันหลายปี จนต้องควักทุนส่วนตัวไปปีละกว่า 80 ล้านบาท สุดท้ายจึงตัดสินใจขายทิ้ง และนำเงินทุนไปอุดหนุนให้กับสถานีโทรทัศน์ วอยซ์ ทีวี ดีกว่า (https://www.youtube.com/watch?v=EEQ1rMPD6cQ)
- ม.ชินวัตร ตอนนี้ยังไม่ปิด ตัวมหาวิทยาลัยที่ปทุมธานียังอยู่ แต่ถูกชินวัตรขายให้กับทุนจีนไปเรียบร้อย ส่วน ตึกบีบีดี ข้างๆ นั้นก็ยุบเลิก แล้วไปรวมที่ปทุมธานีแทน
(https://www.facebook.com/keeradit2011)
- เมื่อยุบเลิกมหาวิทยาลัยแล้ว ก็เอาอาคารบีบีดี ตึกนั้น ปล่อยเช่าให้กับแก๊งมังกรจีน ที่กำลังตกเป็นข่าวโดนจับกุมและสอบสวนอยู่นั่นเอง เรียกได้ว่า ขายมหาลัยให้ทุนจีน แล้วปล่อยตึกให้ทุนจีนเช่า ตามกฎหมายที่พรรคไทยรักไทยเคยออกไว้เมื่อปี 2545
- แต่ การปล่อยให้แก๊งมังกรจีน สวมบัตรประชาชนปลอม เข้ามาเช่าตึก แล้วตั้งสมาคมฯ ทำตัว โหนสถาบันฯ โดยที่วอยซ์ทีวี ที่อยู่ติดกัน เงียบกริบ ไม่รู้ไม่ชี้สักแอะ
มันเป็นไปได้อย่างไร
- หรืองานนี้ มีนอกมีใน ใครเป็นแบ๊กอัพให้แก๊งมังกรจีน ถึงได้ตั้งหลักปักฐานกันสะดวกโยธินพัฒนากันแบบนี้หนอ
สรุป :: ต้องติดตามกันต่อ ว่า ภาวะ “ปากรั่ว”ของสองตัว เอ๊ย!! สองท่านนี้ จะนำพาความโชคดีหรือความฉิบหายมาสู่ “นาย” ของพวกเขา !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี