“ตู้ห่าว” ผู้เคยรอดคดีเผาสวนงูที่ภูเก็ต เพราะอัยการสั่งไม่ฟ้อง
กำลังถูกดำเนินคดียาเสพติด และคดีฟอกเงินของเครือข่าย
เนื่องจากเครือข่ายคนที่มีความสัมพันธ์กับตู้ห่าว เป็นหลานเขย พล.ต.อ.ประชา แถมมีนายตำรวจใหญ่เป็นลูกเขย
เครือข่ายตู้ห่าวเอาเงินไปซื้อบ้านหรูหลังละ 50 ล้านครึ่งค่อนหมู่บ้าน มูลค่าหลายพันล้าน จากบริษัทอสังหาฯ ที่มีลูกอดีตนายกฯถือหุ้นใหญ่
บริษัทนอมินีตู้ห่าวเช่ารถจากบริษัทลูกชายของน้องพลเอกประยุทธ์ ฯลฯ
เห็นนักการเมืองฝ่ายค้าน พยายามจะลากไปโจมตีนายกฯ พลเอกประยุทธ์ ว่าจะอุ้มคดีตู้ห่าวเพียง เพราะเหตุหลังนี้เท่านั้นเอง
น่าสมเพชเวทนามาก เพราะดูจากน้ำหนักว่า ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สัมพันธ์ หรือมีผลประโยชน์เอี่ยวกับตู้ห่าวมากกว่ากัน ระหว่างคนในรัฐบาลปัจจุบัน หรือคนในรัฐบาลขั้วระบอบทักษิณ?
วิญญูชนที่พอมีสติปัญญา และติดตามข้อมูลข่าวสารมาโดยตลอด จะตอบได้ไม่ยากเลย
1. ตู้ห่าวจะรอดหรือไม่รอด อยู่ที่พยานหลักฐานในสำนวน ยังไม่สามารถชี้อะไรได้ในขณะนี้
นายกฯ เคยกำชับให้สอบสวนดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ถึงที่สุด ไม่เลือกหน้า
ล่าสุด ทราบว่า คณะพนักงานสอบสวนกำลังสรุปสำนวน คาดว่าจะเสนอสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาภายในวันศุกร์ที่ 13 ม.ค. นี้
ตอนนี้ เชือดตำรวจที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง 6 รายก่อนแล้ว ได้แก่
อดีตรรท.ผกก.สน.ยานนาวา และ พลขับ มีพฤติการณ์เรียกรับสินบน 6 แสนบาทปล่อยรถยนต์ที่ตรวจยึดไว้ พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีอาญาแล้ว อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานส่งให้ ป.ป.ช.
พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา 2 นาย และ รองผกก.จร.สน.ลาดพร้าว รวม 3 นาย มีพฤติการณ์ในการเรียกรับสินบนและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการประกันตัวผู้ต้องหา และผู้ต้องหาหลบหนีประกัน พนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีอาญา แจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 3 นาย และส่งสำนวนไปยัง ป.ป.ช.แล้ว
พ.ต.อ.หญิง วัทนารีย์ฯ ภรรยาของนายตู้ห่าว พนักงานสอบสวนได้จับกุมตามหมายจับและแจ้งข้อหาในความผิดฐานฟอกเงิน นำตัวไปฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ต่อมาศาลได้อนุญาตให้ประกันตัว หลักประกัน 2 ล้านบาท
ตำรวจทั้ง 6 นาย มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. 2566
ส่วนกรณีเป็นข่าวตามที่นายชูวิทย์ ขอให้ตรวจสอบรถทัวร์ของหลานนายกฯ ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้น กรณีดังกล่าว หลานนายกฯ ได้นำรถทัวร์มาร่วมทำธุรกิจท่องเที่ยว ก่อนปี พ.ศ.2563 ซึ่งก่อนเกิดเหตุในคดีเรื่องนี้ และยังไม่มีพยานหลักฐานใดที่เชื่อมโยงหรือปรากฏว่าหลานนายกฯ มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับนายตู้ห่าวในคดีเรื่องนี้
2.อันที่จริง ก่อนจะมีเรื่อง “ตู้ห่าว” ก็เคยมีกรณีครหาเรื่องที่ผู้มีเงินทองมากล้น ต้องคดีฟอกเงิน แต่ก็รอด เพราะอัยการสั่งไม่อุทธรณ์คดี
เป็นอัยการยุคเดียวกับที่สั่งไม่ฟ้องคดีตู้ห่าวเผาสวนงูเสียด้วย
จำได้ไหม ... คดีฟอกเงินพานทองแท้
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษายกฟ้องนายพานทองแท้ บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร คดีฟอกเงินธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้เครือกฤษดามหานครโดยทุจริต
โดยคดีนี้ มีองค์คณะผู้พิพากษา 2 ราย ปรากฏว่า มีความเห็นแย้งกัน สุดท้าย จึงต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 ที่ระบุให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมาก ยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า จึงทำให้นายพานทองแท้ได้รับอานิสงส์
ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ไม่เห็นพ้องด้วยกับผู้พิพากษาองค์คณะที่พิพากษายกฟ้อง
อาศัยอำนาจตามมาตรา 183 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงได้ทำความเห็นแย้งไว้หลังคำพิพากษา
ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน มีความเห็นแย้งว่า ที่จำเลยให้การว่าเงินจำนวน 10 ล้านบาท ที่จำเลยรับมาจากนายวิชัยได้เปลี่ยนสภาพเงินที่ได้รับจากการทุจริตกลายเป็นที่ได้จากการขายหุ้นและโอนมาหลายทอด จึงพ้นขั้นตอนของการฟอกเงิน และเปลี่ยนสภาพเป็นเงินดี เป็นความเข้าใจเอาเองของจำเลย แต่เงินจำนวน 10 ล้านบาท ที่นายวิชัยโอนให้แก่จำเลยแทนนายรัชฎาบุตรชาย ตามแผนผังเส้นทางการเงิน และโอนเปลี่ยนมือมาหลายทอด เป็นส่วนหนึ่งของเงินที่นายวิชัยกับพวกได้รับมาจากธนาคารกรุงไทย จากการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานโจทก์ว่า เงินจำนวน 10 ล้านบาทเป็นเงินที่มาจากความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯมาตรา 3 (4) (5)
ประเด็นว่า จำเลยรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการขอและอนุมัติสินเชื่อของธนาคารกรุงไทยและรับเงิน 10 ล้านบาท โดยรู้ว่าเป็นเงินส่วนหนึ่งของสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติโดยมิชอบอันเป็นความผิดมูลฐานในความผิดฐานฟอกเงินหรือไม่? โดยจากการวินิจฉัยข้างต้นแล้วว่า เงินดังกล่าวเป็นเงินที่นายวิชัยขายหุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ผ่านบริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็งฯ ต่อมาได้สั่งจ่ายเงิน 10 ล้านบาทเข้าบัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงเทพของจำเลย ต่อมาจำเลยได้ถอนเงิน 10 ล้านบาทจากบัญชีออมทรัพย์ เข้าบัญชีกระแสรายวันธนาคารกรุงเทพ โดยพนักงานธนาคารกรุงเทพเบิกความยืนยันว่า เงินดังกล่าวเป็นก้อนเดียวกัน นอกจากนี้ จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินระหว่างนายวิชัย และจำเลย บัญชีการรับเงินและโอนเงินไม่ปรากฏนิติสัมพันธ์กัน เนื่องจากการตรวจสอบธุรกิจนำเข้ารถยนต์ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ไม่มีธุรกิจที่จำเลยร่วมลงทุนกันจริงกับนายรัชฎาบุตรนายวิชัย ทั้งจำเลยโอนย้ายเงินจากบัญชีที่รับโอนไปบัญชีอื่น และยังโอนเงินจากบัญชีที่โอนไปอีกบัญชีหนึ่ง
ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานโจทก์ว่า จำเลยรับโอนเงินจากนายวิชัยโดยไม่มีมูลหนี้ ทั้งก่อนการโอนเงิน 10 ล้านบาทยังปรากฏว่า เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2546 นายวิชัยได้โอนเงินตามเช็คแก่จำเลย 26ล้านบาท แต่ต่อมาเช็คดังกล่าวได้ถูกยกเลิก ด้วยเหตุผลการฝากเงินชำระหนี้ค่าหุ้นแก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาตที่จำเลยไม่รับฝากชำระ เช็คจึงถูกยกเลิกไป อันแสดงให้เห็นว่า จำเลยกับนายวิชัยมีการติดต่อกันใกล้ชิด ทั้งจำเลยซึ่งเป็นบุตรนายทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขณะนั้น จำเลยมีความสนิทสนมกับนายรัชฎา และไปมาหาสู่กันถึงบ้าน การที่ธนาคารกรุงไทยอนุมัติสินเชื่อแก่เครือกฤษดามหานคร ทั้งที่ผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้จึงเป็นการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบแก่นายวิชัยกับพวก ด้วยความสัมพันธ์ใกล้ชิดของนายรัชฎากับจำเลย หากไม่มีการช่วยเหลือเอื้อประโยชน์จากบิดาจำเลย ธนาคารกรุงไทยจะไม่อนุมัติสินเชื่อโดยผิดหลักเกณฑ์ของธนาคาร ต่อมาปรากฏว่าเครือกฤษดามหานครไม่สามารถชำระหนี้แก่ธนาคารกรุงไทยได้
ที่จำเลยได้ให้การต่อสู้ให้การในชั้นสอบสวน และเบิกความต่อศาล สรุปได้ว่าจำเลยพูดคุยในกลุ่มเพื่อนฝูงว่าประสงค์จะทำธุรกิจนำเข้ารถยนต์เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย นายรัชฎาซึ่งร่วมวงพูดคุยด้วย ใช้เวลาตัดสินเพียง 1 คืนโทรศัพท์มาแจ้งขอร่วมทำธุรกิจกับจำเลย และโอนเงินจำนวน 10 ล้านบาทให้แก่จำเลย โดยขณะนั้นเป็นเพียงการพูดคุยและวางแผนในการทำธุรกิจ แต่ยังไม่ได้ศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจว่าจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ จึงผิดวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจปกติ ทั้งเงินที่จำเลยรับโอนมารวมระยะเวลา 1 ปี ที่จำเลยโอนเงินคืน ก็ไม่ปรากฏการทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหลักฐานระหว่างกัน
ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยประสงค์ร่วมกับนายรัชฎาประกอบธุรกิจนำเข้ารถยนต์ซูเปอร์คาร์เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยจริง ทั้งในช่วงแรกที่จำเลยให้ถ้อยคำก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยให้ถ้อยคำว่า เงิน 10 ล้านบาท เป็นเงินทำธุรกิจรถยนต์เข้ามาจำหน่ายร่วมกับนายรัชฎา แต่จำเลยมาให้ถ้อยคำภายหลัง ดังนั้น เงินจำนวน 10 ล้านบาทที่จำเลยรับโอนมาจากนายวิชัย จึงไม่ใช่เป็นเงินที่นายรัชฎาร่วมลงทุนทำธุรกิจรถยนต์เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย จึงควรวินิจฉัยประการต่อไปว่า เงินจำนวน 10 ล้านบาท ที่จำเลยรับโอนมาจากนายวิชัย เป็นเงินที่จำเลยรับมาชำระหนี้อย่างใดหรือไม่ เห็นว่า จำเลยเบิกความว่าไม่เคยร่วมประกอบธุรกิจใดกับนายวิชัย จึงไม่มีเหตุที่นายวิชัยจะต้องโอนเงินจำนวนมากให้แก่จำเลย แต่จำเลยได้รับโอนเงินดังกล่าวซึ่งไม่มีหนี้ต้องชำระตามข้อตกลงและการรับโอนเงินโดยไม่มีมูลหนี้จำนวนสูง ย่อมเป็นการตอบแทนที่มิชอบด้วยกฎหมาย เป็นลักษณะเงินให้เปล่าเป็นค่าตอบแทนอย่างใดอย่างหนึ่งที่รู้เฉพาะนายวิชัย นายรัชฎา และจำเลย
จำเลยยังเบิกความรับว่า จำเลยเบิกถอนเงินจากบัญชีที่รับโอนมาไปใช้จ่าย หากต้องการคืนเงิน 10 ล้านบาท แก่นายรัชฎา จำเลยมีเงินสำรองจำนวนอื่นจ่ายคืนได้ทันที จึงแสดงให้เห็นว่า เงิน 10 ล้านบาท ที่จำเลยได้รับมา จำเลยได้นำไประคนปนกันกับเงินของจำเลยที่อยู่ในบัญชีอื่น และนำมาใช้จ่ายส่วนตัว จึงไม่รู้ว่าเงินใดเป็นเงินปกติ เงินใดเป็นเงินผิดกฎหมาย จึงต้องวินิจฉัยพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยที่เบิกถอนเงินในลักษณะเป็นการใช้จ่ายส่วนตัว คราวละไม่มาก จึงไม่ใช่บัญชีธุรกิจที่จะใช้ในการลงทุนประกอบธุรกิจ ที่จำเลยเบิกความว่าสามารถนำเงินของจำเลยจำนวนอื่นมาคืนเมื่อใดก็ได้ก็เป็นความผิดวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจ และการประกอบธุรกิจปกติ พฤติการณ์จึงเป็นการรับโอน เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด เพื่อปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มาแหล่งที่ตั้ง การโอนซึ่งทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำผิด
จำเลยจึงรู้หรือควรรู้ว่าเงิน 10 ล้านบาท ที่ได้รับมาจากนายวิชัยเป็นเงินส่วนหนึ่งของสินเชื่อธนาคารกรุงไทยที่อนุมัติให้เครือกฤษดามหานคร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดฐานฟอกเงินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 5 (1) (2) พิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี คำขอนอกจากนี้ให้ยก นี่คือความเห็นแย้งของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน
ปรากฏว่า พอคำพิพากษายกฟ้อง
อัยการสูงสุดในขณะนั้น โดยรองอัยการสูงสุด (คนเดียวกับที่สั่งไม่ฟ้องคดีบอส) สั่งไม่อุทธรณ์คดี !!!!
ยุคอัยการสูงสุดคนเดียวกับที่มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีตู้ห่าวเผาสวนงู
ยุคอัยการสูงสุดคนเดียวกับสั่งไม่ฟ้องคดีฟอกเงินเจ้าสัวธรรมกาย
น่าแปลกใจ คนที่พยายามนำแค่ส่วนเสี้ยวคดีตู้ห่าว มาปั่นกระแสหวังผลประโยชน์ทางการเมืองในขณะนี้ กลับเห็นดีเห็นงาม หรือหุบปากเงียบ ในคดีต่างในข้างต้น ที่ไม่มีแม้โอกาสจะได้ไปสู้คดีในชั้นศาลให้ถึงที่สุดเลยด้วยซ้ำ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี