วันก่อนลงไปงานศพญาติผู้ใหญ่ ที่จังหวัดตรัง นั่งคุยเรื่องความหลังกับคนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่คนรุ่นเก่าอย่างเราเป็นคนเล่า เหมือนกับที่คนพูดกันติดปากว่า “คนรุ่นเก่าชอบเล่าความหลัง” แต่ความหลังของคนทำข่าวได้เห็นมาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะเล่าเรื่องสถานการณ์ทางเมืองยุคเก่ากับยุคใหม่ เพราะบังเอิญคนรุ่นใหม่ ยกเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคก้าวไกลขึ้นมาว่า พรรคนี้ต้องการแก้มาตรา 112 มีนโยบายปฏิรูปสถาบัน ปฏิรูปทหาร ยกเลิกเงินบำนาญข้าราชการ เลยถามคนรุ่นใหม่ กลับไปว่า“ที่มีแ..ก อยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เงินบำนาญพ่อเหรอ”(ที่สนทนาด้วยหนึ่งในนั้น เป็นลูกชายข้าราชการบำนาญ)
เมื่อตั้งคำถามนั้นไปแล้ว คนรุ่นเก่าอย่างเรา ก็ยกเรื่องเก่าขึ้นมาเล่าว่าภัยคุกคามสถาบันฯจากคนรุ่นใหม่มีมานานแล้วที่เรามีประสบการณ์ตรง คือ หลังเหตุการณ์ 14
ตุลาคม 2516 ตอนนั้นกระแสสังคมนิยมมีสูงในหมู่คนรุ่นใหม่ปี 2516 คนหนุ่มสาวหนีเข้าป่า จับปืนต่อสู้กับรัฐบาลจำนวนหนึ่ง แต่หลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519ตอนนั้นคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนักศึกษามีทั้งที่หนีเข้าป่าเพราะอุดมการณ์สังคมนิยมที่ปลุกระดมกันมาก และ หนีเข้าป่า เพราะกลัวตาย อยู่ในเมืองไม่ปลอดภัยถูกคุกคามจาก ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ที่สำคัญถูกคุกคามจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ขวาจัดในยุคนั้น คือ กลุ่มนวพลและกระทิงแดง
กลุ่มนวพลกับกลุ่มกระทิงแดง ถูกล้างสมองโดยซีไอเอ และนักการเมืองขวาจัดว่า คนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้า โดยเฉพาะนักศึกษา เป็นพวกหนักแผ่นดิน เป็นภัยคุกคามต่อการปกครองแบบประชาธิปไตย (อำนาจนิยม)ฯ ดังนั้น นักศึกษา จึงหนีเข้าป่าจำนวนมาก เราคิดเองว่าในจำนวนที่หนีเข้าป่าไม่ถึง 20% ที่มีอุดมการณ์สังคมนิยม ซึ่งถูกเหมารวมว่าเป็นคอมมิวนิสต์
ในวัยเด็กคนบ้านนอกอย่างเราถูกล้างสมองโดยปฏิบัติการข่าว หรือ โฆษณาชวนเชื่อของอเมริกาว่า คอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามต่อครอบครัว ต่อชาติ ศาสนาตลอดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ กล่าวคือเขาหลอกว่าในครอบครัวลูกๆ ไม่ต้องเคารพพ่อแม่ เพราะเมื่อเป็นคอมมิวนิสต์สมบัติทุกอย่างที่ดินเรือกสวนไร่นาเป็นของส่วนรวม ที่ทุกคนร่วมกันทำงานได้รับการแบ่งปันข้าวปลาอาหารเท่าเทียมกัน คอมมิวนิสต์ยกเลิกศาสนา และทุกสถาบัน ทุกอย่างเท่าเทียมกัน
ผู้เขียนใช้โอกาสนี้พูดต่อว่า สถานการณ์ทางเมืองตอนนี้ กับยุคป๋า พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ไม่เหมือนกันในยุคนั้นคนรุ่นใหม่ ไม่ได้สู้กันทางโซเชียล แต่คนรุ่นใหม่ยุคนั้น เข้าป่าจับปืนสู้กับรัฐบาลที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นเผด็จการ ไม่ใช่สู้กับเผด็จการทาง Tik Tok เหมือนทุกวันนี้
ในทศวรรษ 2520 คนรุ่นใหม่ที่หนีเข้าป่าออกปฏิบัติการจริง ไม่ว่าจะซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ ปะทะกับทหาร บางส่วนออกปฏิบัติการจิตวิทยาพบปะชาวบ้าน สอนหนังสือให้เด็กในเขตปลดปล่อย คนรุ่นใหม่ที่เข้าป่าจับปืนทำได้ แม้กระทั่งลงโทษคนในชนบทที่ทำผิดอย่างป่าเถื่อน
ในทศวรรษ 2520 คอมมิวนิสต์มีอิทธิพลทั่วประเทศไทย ตัวอย่างเช่น อำเภอห้วยยอด บ้านเราเพียงข้ามทางรถไฟไปก็อยู่ใต้เขตอิทธิพลของทหารป่าแล้ว ท่างิ้ว ในร่อนในเหมือง ในเตาเจ้าหน้าที่เข้าไม่ถึง เรายกตัวอย่างให้คนรุ่นใหม่ฟังว่าตอนทำศพพ่อผู้เขียน มีสหายป่ามาร่วมทำบุญด้วย แต่พวกสหายป่าไม่กล้าไปในวัด เขาให้คนมาตามผู้เขียนไปพบในทุ่งนาผู้เขียนกับทหารป่าได้สนทนากันหลายเรื่องก่อนจะเลิกราจากกันเขาล้วงกระดาษขาวจากกระเป๋าเสื้อมาวาดเป็นวงกลมแล้วฉีกออกเป็นสองส่วนให้ผู้เขียนถือติดตัวไว้ส่วนหนึ่ง
สองปีต่อมามีคนโทรศัพท์เข้ามาที่สำนักข่าวยู.พี.ไอ.บอกว่ามีคนขอพบเราในสวนลุมพินี เวลานั้นสำนักข่าวยู.พี.ไอ. อยู่ชั้นห้าตึกอื้อจือเหลียงเก่า เมื่อเราไปพบเด็กหนุ่มคนนั้นซึ่งเป็นนักศึกษาหนีเข้าป่านำกระดาษครึ่งวงกลม ออกให้เราดูแล้ว ขอดูในส่วนของเรา แต่เขาผิดหวัง เพราะเราทิ้งกระดาษชิ้นนั้นไปนานแล้ว อย่างไรก็ตาม สหายป่าคนนั้นแน่ใจว่าเราเป็นคนที่เขาถูกสั่งให้มาพบ สหายป่าขอให้เราช่วยนำเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์บางอย่างขึ้นรถไฟไปให้จนถึงราชบุรีแล้วจะมีคนมารับของต่อไป เราบอกเขาว่าทำไม่ได้เพราะเราเป็นนักข่าวแต่ก็รับปากกับเขาว่า จะไม่แจ้งเรื่องนี้แก่เจ้าหน้าที่ ถือว่าเขาเป็นแหล่งข่าวคนหนึ่งก็แล้วกัน
ขึ้นกลับมาสำนักงาน เล่าให้หัวหน้าฝ่ายข่าวฟังว่ามีสหายป่ามาพบ หัวหน้าสำนักข่าว ยู.พี.ไอ.เลยเสนอข่าวสั้นๆ ว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศทางภาคใต้ขาดแคลนเวชภัณฑ์ขึ้นมาจัดหาถึงเมืองหลวง และให้รายละเอียดว่า ทหารป่ามีทั่วประเทศไทยที่เขาเรียกกันว่ายุทธศาสตร์ป่าล้อมเมือง
เราเล่าให้คนรุ่นใหม่ที่ร่วมสนทนาฟังว่าสมัยป๋า คอมมิวนิสต์คุกคามจากทั้งนอกและในประเทศอย่างไร บอกพวกเขาว่าแม้แต่หมู่บ้านที่เรานั่งคุยกันอยู่วันนี้ เมื่อ
ห้าสิบปีก่อน สหายป่าออกมาหาเสบียงเป็นประจำ
ประมาณปี 2523 ผู้เขียนเป็นวิทยากรพิเศษสอนธุรกิจท่องเที่ยวโรงแรม ให้กับวิทยานุกรณ์อาชีวศึกษา สาขาหาดใหญ่ ในวันหยุด ครั้งหนึ่งผู้อำนวยการโรงเรียน ขอให้เราขับรถขึ้นกรุงเทพฯเพราะภรรยาของคุณพฤกษ์อุปถัมภานนท์ ผู้ประกาศช่องสาม ขอติดรถมาด้วย รถมาถึงเวียงสระ จ. ุราษฎร์ธานี ประมาณห้าโมงเย็น มีทหารป่า5-6 คนอาวุธปืนครบมือ ออกมาหยุดรถเรา แล้วพูดหน้าตาเฉยว่า “ขอรถไปทำธุระเดี๋ยว” เราบอกว่า “เอาไปสิแต่รถคันนี้ นั่งได้ไม่กี่คน อีกอย่างมีของเต็มรถ และที่สำคัญมีผู้หญิงอยู่ในรถด้วยจะทำอย่างไร” เจรจากันอยู่สักพักบังเอิญ มีรถกระบะผ่านมาสหายป่าโบกให้รถหยุดแล้วหันมาบอกเราว่า “ไปตะ” เราเลยผ่านมาโดยสวัสดิภาพ
อยากบอกผู้อ่านโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่รู้ว่า สมัยป๋าเปรม เป็นนายกฯ ทหารป่ามีมากจริงๆ จนแม่ทัพภาค 4 พลเอกหาญ ลีนานนท์ ต้องจัดทัวร์นรกคือ จัดทหารอาวุธพร้อมมือปะปนมากับผู้โดยสารในรถประจำทาง หากวันไหนทหารป่าออกหยุดรถ เรียกค่าคุ้มครอง ก็เจอกัน ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งต้องไปนรก แต่โชคดีของประเทศไทย ที่ไม่มีเหตุร้ายเกิดระหว่างแม่ทัพภาค 4 จัดทัวร์นรก ขณะที่ แม่ทัพภาค 4 จัดทัวร์นรก บนถนนสายเอเชีย ทหารป่านำกำลังปล้นรถไฟที่สถานีพรุพี อ.นาสาร จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2521 ปล้นเงินได้หนึ่งล้านสองแสนบาท ยิง ร.ต.อ.ไสว พลชน เสียชีวิต และต่อมาเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาปล้นรถไฟและสังหารเจ้าหน้าที่แก่ นายสุรชัย แซ่ด่าน
เมื่อเล่าถึงสถานการณ์ย่อๆ แล้วก็บอกพวกเขาว่า ในสมัยป๋า มีคอมมิวนิสต์ที่เรียกทหารป่าเป็นหมื่นคน ใช้ยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมือง ตั้งแต่ ภูพานเพชรบูรณ์ สกลนคร ลงมาถึง จังหวัดเพชรบุรี ในเทือกเขา สุราษฎร์ธานี เชื่อมนครศรีธรรมราช พัทลุง ตรังและอื่นๆ แต่ป๋าเอาชนะคอมมิวนิสต์ได้ หลังจากประกาศนโยบายนิรโทษกรรมทั่วไป โดยออก คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 เรื่อง นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์
หลังจากนั้นไม่นานพวกนักศึกษาปัญญาชนและคนทั่วไปที่หนีเข้าป่าก็ทยอยกันออกมาร่วมพัฒนาชาติไทยมีอยู่บ้างที่อุดมการณ์ตกค้าง ยังคงเคลื่อนไหวคุกคามสถาบันต่อไปแต่ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าคนส่วนน้อยเหล่านี้ใช้นักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ เป็นสะพานเชื่อมอุดมการณ์จาก คนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ หรือคอมฯหลงยุคเหล่านี้ถูกนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์หลอกใช้เพราะมีหลายคนที่ออกจากป่าแล้วมาร่วมงานการเมืองกับนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ บางคนรับใช้ทุนสามานย์ ถึงขั้นเป็นมันสมองของพรรคจนวันนี้
ส่วนอดีตสหายป่าที่อยู่ไม่เป็น ก็ถูกทุนสามานย์ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองว่า ด้วยเรื่องคุกคามสถาบัน โดยคนที่ออกจากป่าสู่การเมืองกลุ่มนี้ มีการปลุกระดมปั่นกระแสแก้ มาตรา 112 บางคนที่ร้อนวิชาจนไม่สามารถควบคุมอาการได้ โจมตีสถาบันในที่สาธารณะ และ ถูกฟ้องคดีอาญามาตรา 112 ธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ ก็จัดการให้หลบหนีไปตั้งฐานโจมตีสถาบันจากประเทศเพื่อนบ้าน ถามว่า บรรดาลุงๆ ที่ดูแลบ้านเมืองรู้ไหม เดาเอาว่า พวกเขารู้ แต่ก็ทำเป็นปากว่าตาขยิบ ส่วนอดีตคอมมิวนิสต์ที่ฝังหัวเกินเยียวยาบางคนหายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอย
เลยสรุปให้คนรุ่นใหม่ฟังว่า กลุ่มที่ยังคุกคามสถาบันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้มีอุดมการณ์ใดๆ คนพวกนี้หลอกกันเอง ทั้งสองฝ่าย คือ นักการเมือง และนักวิชาการร่านวิชา ล้างสมองนักศึกษาให้คุกคามสถาบัน ในเวลาเดียวกันคนรุ่นใหม่ ก็หลอกใช้เงินนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ที่นักวิชาการหลอกนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์อีกทอดหนึ่ง
ถึงตอนนี้เลยเวลานอนของคนสูงวัยมาหลายชั่วโมงแล้ว เลยถามคนรุ่นใหม่ในวงสนทนาว่า เคยเห็นบัญชีธนาคาร เคยเห็นกระเป๋า Brand names เคยเห็นร้านเหล้า ร้านอาหารที่แกนนำคนรุ่นใหม่ ซึ่งได้ประกันตัวชั่วคราวเป็นเจ้าของไหม? แกนนำเหล่านั้น ไม่มีงานทำส่วนใหญ่ยังเป็นนักศึกษา แต่มีเงินในบัญชีกว่าสิบล้าน และ เวลานี้กำลังใช้ลมหายใจของสหายร่วมรบเป็นตัวประกันกดดันนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ให้ยกเลิกข้อหาการเมืองทั้งหมด หากนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ทำให้ไม่ได้พวกที่ประกันตัวออกมาแล้วจะไปอยู่เมืองฝรั่ง ได้ผัวฝรั่งบ้าง ไปล้างจานร้านอาหารบ้างก็ยังดีกว่าติดคุกในไทย
เมื่อไม่มีคำตอบจากวงสนทนาก็ให้คนรุ่นใหม่ไปคิดเป็นการบ้านก่อนที่จะตัดสินใจว่า เลือกตั้งครั้งต่อไปนึกถึงคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเก่า
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี