ปีเถาะนี้ เป็นปีกระต่ายเปรียว และเป็นปีเลือกตั้งที่ สส.ผีตองเหลือง ยังเป็นตัวแปรสำคัญของคนไทยว่าจะได้รัฐบาลดีกว่าที่ผ่านมาหรือไม่ วันนี้บรรดากูรูการเมือง นักวิชาการ โหร(โหน)เริ่มวิเคราะห์วิจารณ์ทำนายว่าค่ายไหน พรรคไหนจะได้เป็นรัฐบาล พรรคไหนจะได้ สส.เพิ่มขึ้น หรือลดอย่างมีนัย คอลัมน์ทวนกระแสข่าว ไม่มีทั้งหลักรัฐศาสตร์ และไสยศาสตร์ แต่อาศัยเป็นคนข่าวมานาน และ มีเพื่อนนักข่าวอยู่ทั่วประเทศไทยที่เกาะติดข่าวการเมืองมาหลายปี ช่วยกันวิเคราะห์แสดงความคิดตามกระแสสังคมและฟังจากเสียงชาวบ้าน

ที่นักข่าวทั้งส่วนกลาง ภาคเหนือ ใต้ อีสาน ตะวันออกได้สัมผัสมา พวกนักข่าวรุ่นเก่าและเก๋าพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เลือกตั้งครั้งที่จะมาถึงพวก สส. ผีตองเหลือง ยังมีบทบาทสำคัญผลักดันให้พรรคที่ สส. ผีตองเหลืองย้ายไปอยู่มาก ได้เป็นรัฐบาล ส่วนพรรคที่ตะโกนหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น ว่าชนะแลนด์สไลด์เพราะเจ้าของพรรค คิดว่าภาคอีสานเป็นของตาย อาจกลายเป็นแลนไถล(ตะกวดลื่น) ส่วนพรรคกล้วยด่างที่หวังชื่อเสียงและผลงานของลุงตู่อุ้มชูเข้าสภาขึ้นเป็นรัฐบาล นักข่าวในพื้นที่บอกว่า พรรคกล้วยด่างไม่ปังเหมือนดังที่คุย

สส.ผีตองเหลือง คือ สส.ที่ย้ายพรรคทุกสมัยเลือกตั้ง บางคนย้ายถึงสามพรรคภายในหนึ่งปีคอลัมน์นี้เรียกว่า สส. ผีตองเหลือง เพราะผีตองเหลืองคือ มนุษย์เผ่าพันธ์ุหนึ่งที่ย้ายที่พักอาศัยชั่วใบตองเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง ส่วนพรรคกล้วยด่าง คือ พรรคที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับใครคนใดคนหนึ่งหรือเพื่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ตอนตั้งขึ้นมาใหม่ๆก็ปั่นราคาเหมือนกล้วยด่าง แต่พอประชาชนสำนึกได้หรือรู้ทันว่าเป็นการปั่นกระแส ปั่นราคากล้วยด่างก็มีค่าแค่อาหารหมู

“พี่ไม่ต้องไปวิเคราะห์อื่นไกลให้ปวดหัว อีสานเรานี้แหละเป็นตัวแปรสำคัญทุกๆ การเลือกตั้ง”อดีตหัวหน้าข่าวการเมือง นสพ.ยักษ์ใหญ่ ที่ถูกพิษโควิด-19 ทำให้กลายเป็นเกษตรอยู่จังหวัดขอนแก่น บอกกับแนวหน้า

เขากล่าวว่าสมัยก่อนภาคอีสาน ใครพูดถึงนายทักษิณในแง่ลบ จะถูกติดตามตัวเหมือนเกสตาโป(ตำรวจลับฮิตเลอร์) ติดตามความเคลื่อนไหวแต่ตอนนี้อิทธิพลบารมีของทักษิณ แทบไม่เหลือทำยาแล้ว ใครไม่พอใจ ใครไม่ถูกใจวิจารณ์ได้เต็มที่ แถมมีคนสุมหัวฟังด้วย สมัยก่อนตำรวจเปิดเครื่องขยายเสียงโฆษณาพรรคไทยรักไทยอย่างเปิดเผย ข้าราชการ กำนันผู้ใหญ่บ้านเอ็นจีโอ และอดีตคอมมิวนิสต์อยู่ภายการครอบงำของสัมภเวสีหนีคุกผ่านอดีตสหายอ้วนและสหายคนอื่นๆ แต่แปดปีที่ผ่านไปทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงข้าราชการสมุนบริวารสัมภเวสีหนีคุกเกษียณหมดอำนาจแล้ว พวกคอมมิวนิสต์เก่าก็หมดไฟบางคนจากโลกนี้ไปแล้ว บางคนหนีไปตายต่างประเทศ

“แน่นอนนโยบายประชานิยมของทักษิณยังพอขายได้ แต่ระยะหลังนี้ประชานิยมแบบลุงตู่เหนือชั้นกว่า บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่งโครงการไทยชนะ ประกันราคาพืชผล โครงการเหล่านี้เงินเข้ากระเป๋าชาวบ้านโดยตรง ไม่ต้องผ่านหัวคะแนน ไม่ต้องมีค่านายหน้าไม่มีหัวค่าหัวคิว โครงการต่างเหล่านี้ได้ใจชาวบ้านมากกว่านโยบายประชานิยมของทักษิณ” เขากล่าว

และเสริมว่า “พวกหัวรุนแรงสุดโต่งคนรุ่นสี่สิบลงมา และพวกเผาศาลากลางหันหลังให้เพื่อไทยไปคบหาพรรคก้าวไกลกันหมดแล้ว ก้าวไกลมันกล้าประกาศยกเลิกมาตรา 112 เป็นนโยบายแต่เพื่อไทยแทงกั๊กไม่กล้า พวกสุดโต่งมันเลยเทเพื่อไทย..ลุงตู่เขามีเสียงอยู่นะแต่หาตัวมีแสงไม่ได้(หาผู้สมัคร สส.ที่มีคะแนนนิยมไม่ได้) พรรคที่ลุงตู่ไปร่วมงานมันถึงไม่ปัง”

อดีต บก.ข่าวการเมืองเห็นต่างกับโพลล์และสื่อบางสำนักที่คาดการณ์ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้สส.180 คน” ผมคิดว่าเพื่อไทยได้ สส.ถึง 130 คนก็หืดขึ้นคอแล้ว เพราะเที่ยวนี้ สส.เพื่อไทย ไหลไปพรรคอื่นมาก โดยเฉพาะพวก สส.บ้านใหญ่ ย้ายไปภูมิใจไทยหลายกลุ่ม”

ผลการเลือกตั้ง 24 ม.ค. 2562 พรรคเพื่อไทยได้ สส.เขต 135 คน ในจำนวนนี้เป็น สส.อีสานถึง84 เขต พรรคพลังประชารัฐ ได้ สส.เขต 91 เขต เป็น สส. อีสาน 10 เขต พรรคภูมิใจไทยได้ สส.เขต 39 คน เป็นสส.อีสาน 12 เขต ประชาธิปัตย์ได้ สส.เขต 33 คน สส. อีสาน 2 เขต

“ภาคอีสานซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ ผมคิดว่าเที่ยวนี้สส.เขตเพื่อไทยลดลงไปอย่างน้อย 20% เพราะสส.บ้านใหญ่ย้ายไปอยู่ ภูมิใจไทย หลายบ้านแล้ว จะหา 180 มาจากไหน ภูมิใจไทย สิ จะมี สส.เขตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ภูมิใจไทยอาจมี สส.เขตถึง 70 เขตพลังประชารัฐ ถึงวันเลือกตั้ง หาก สส.บ้านใหญ่ในภาคอีสานจ.ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ ไม่ย้ายไปคงได้ สส.เขต ภาคอีสานเท่าเดิม ส่วน สส.เขตภาคอื่นๆลดอย่างน่าใจหายทุกภาค”

ผู้สื่อข่าวการเมืองประจำจังหวัดเชียงใหม่ ที่ทำข่าวให้หนังสือพิมพ์หลายฉบับวิเคราะห์ว่าภาคเหนือ ภูมิใจไทย แบ่งคะแนนจากเพื่อไทยไปได้บางจังหวัดภาคเหนือตอนบน ส่วนภาคเหนือตอนล่างภาคและกลางตอนบนได้คละกันหลายพรรคทั้งเพื่อไทย ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ และ ประชาธิปัตย์ ได้สส.เขตบ้างประปราย แต่โดยสรุปคำว่า เพื่อ#แลนด์สไลด์ลืมไปได้เลย

ผู้สื่อข่าวส่วนกลาง ที่ดูแลทั้งกรุงเทพฯและภาคกลาง บางส่วน กล่าวว่า “คนกรุงเทพฯและภาคกลางบางส่วน คะแนนนิยมลุงตู่ ยังเหนือกว่าใคร แต่เอาแน่นอนไม่ได้ ต้องตัดสินกันหน้างาน ดูเหตุการณ์สองอาทิตย์ก่อนวันเลือกตั้งจริง เพราะคนเมืองหลวงเปลี่ยนใจง่ายเลือกตั้งตามอารมณ์ตามกระแสพาไป ตอนหาเสียงเราไม่รู้ว่าใครพรรคไหนมีหมัดเด็ดอะไรออกมาบ้าง #คำว่าเพื่อความสงบจบที่ลุงตู่ มันไม่ขลังเหมือนตอนเลือกตั้งปี 2562 แล้ว ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อาจได้บทเรียนมาจากเลือกผู้ว่าฯกทม. ก็ได้ทุกพรรคมีสิทธิ์แพ้ชนะคละกันไป สิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือ ปชป. เขามีแฟนพันธุแท้อยู่มาก คิดว่าเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาธิปัตย์จะกลับมามากน้อยแค่ไหน ให้ดูหน้างานอย่างน้อยสี่ห้าเขต ประชาธิปัตย์ น่าจะชนะ พิเคราะห์จากการเลือก สก. ที่ผ่าน ประชาธิปัตย์ ชนะมากพอสมควร

ส่วนผู้สื่อข่าวภาคใต้ที่มีศูนย์กลางอยู่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา วิเคราะห์ให้ฟังว่าจากผลงานประกันราคาพืชผลยางพาราและปาล์มน้ำมันได้ใจชาวบ้านมาก ประมาณการว่าใน 14 จังหวัดภาคใต้ประชาธิปัตย์ ได้ สส.ไม่น้อยกว่า 30 เขต“โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนใต้ คาดว่าจะได้ สส.อย่างน้อย 5 คน”

ผู้สื่อข่าวภาคใต้มีความเห็นเหมือนเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศว่าถ้าเลือกตั้งครั้งต่อไปได้สส. น้อยกว่า 52 คน จะกลับบ้านเลิกทำงานการเมืองตลอดชีวิต ประเมินจากสื่ออาวุโสทุกภาคส่วนคาดว่า ประชาธิปัตย์ น่าจะได้ สส. 70 คนบวกลบ

ความคิดเห็นจากผู้สื่อข่าวที่ติดตามการเมืองมานาน และเชื่อถือได้จากผลงานที่ผ่านมาของพวกเขาทุกคนเชื่อว่า สส. ผีตองเหลืองบ้านใหญ่ ที่ย้ายพรรคทุกครั้ง เพื่อหวังจะได้เป็นรัฐบาล และพรรคที่ สส.ผีตองเหลือง ย้ายไปจะมีเสียงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย

ส่วน สส.ผีตองเหลืองที่ย้ายไป พรรคกล้วยด่างไม่ปังดังที่เข้าใจ เพราะส่วนใหญ่ไม่มีแสงในตัวเอง และไม่มีนักข่าวคนไหนฟันธงว่า สส. ผีตองเหลืองที่ย้ายไปพรรคกล้วยด่างจะได้ที่ที่นั่งพอควรแก่บารมี สมศักดิ์ศรี สมราคาของว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ดังนั้นหากพรรคกล้วยด่างชนะเลือกตั้งมาอันดับสี่ อันดับห้า แล้วลุงตู่จะเอาหน้าไปไว้ไหน

หมายเหตุ:บทความชิ้นนี้เขียนจากข้อมูลและความคิดเห็นของนักข่าวในพื้นที่จึงไม่มีการประเมิน สส.บัญชีรายชื่อแต่ประเมินว่าพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์จะได้สส.บัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยเพราะว่าทั้งสองพรรคมีแฟนประจำอยู่มากกว่าพรรคกล้วยด่าง ที่ตัดตั้งขึ้นมาใหม่และไม่ได้เอ่ยถึงบางพรรค เพราะว่าที่ผู้สมัครบางพรรค ไม่เป็นที่รู้จักของนักข่าวรุ่นเก่าและเก๋า

สุทิน วรรณบวร