วันศุกร์ ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / คอลัมน์ / คอลัมน์การเมือง / เขียนให้คิด
เขียนให้คิด

เขียนให้คิด

เฉลิมชัย ยอดมาลัย
วันอาทิตย์ ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2566, 02.00 น.
ซื้อเสียงผ่านนโยบายพรรคการเมือง ไม่ผิดใช่ไหม

ดูทั้งหมด

  •  

คนไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อว่ามีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (รวมถึงการเลือกตั้งทางการเมืองทุกชนิด) แต่ถึงกระนั้น ก็ยังคงมองว่า การเลือกตั้งคือการแสดงออกถึงการใช้สิทธิ์เพื่อเลือกบุคคลที่ประชาชนต้องการให้ไปทำหน้าที่แทนตนเองในสภา

คนไทยจำนวนไม่น้อยอีกเช่นกันมักจะวิพากษ์ว่า นักการเมืองไทยส่วนน้อยเป็นคนดี แต่ส่วนมากไม่น่าจะเป็นคนดี แต่ถึงกระนั้น ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งก็ยังคงอ้างว่า เมื่อถึงเวลาต้องเลือก ก็ขอเลือกคนที่เลวน้อยที่สุดก็แล้วกัน นั่นแสดงว่าภาพลักษณ์ของนักการเมืองโดยรวมในสายตาประชาชนค่อนข้างเลวทรามมาก 


พูดถึงเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในเมืองไทย ต้องยอมรับว่าคนไทยโดยเฉพาะนักการเมือง และหัวคะแนนต่างรู้เรื่องนี้ดีมากๆ แต่ทว่าผู้ที่มีหน้าที่ควบคุม ดูแล ป้องกัน ปราบปราม และจับกุมผู้กระทำผิดเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในบ้านเรา กลับไม่มีปัญญาจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ดังนั้น จึงทำให้ปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในบ้านเมืองของเราเกิดขึ้นตลอดเวลา และเป็นปัญหาที่หนักขึ้น ใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ

การเมืองในเมืองไทยมีความพิสดารมาก เป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยความฉ้อฉลสารพัดรูปแบบ เริ่มตั้งแต่ตัวหัวหน้าพรรคการเมือง ผู้บริหารพรรคการเมือง ผู้สมัครเป็น สส. ของแต่ละพรรคการเมือง ไล่เรื่อยไปถึงมาเฟีย หัวคะแนนของแต่ละพรรคฯ ทั้งหมดคือปัจจัยสำคัญทำให้พรรคการเมืองไทยมีภาพลักษณ์ที่ไม่น่าศรัทธา และไม่น่าไว้วางใจด้วยประการทั้งปวง

ในขณะฤดูกาลแห่งการหาเสียงเลือกตั้งมาถึง ก็มีภาพพรรคการเมืองต่างๆ พยายามจับขั้วการเมืองเพื่อให้ได้เข้าไปเป็นรัฐบาล ประกอบกับภาพการวิ่งย้ายพรรคการเมืองกันอย่างจ้าละหวั่น มีข่าวหลุดออกมาเป็นประจำว่า มีการซื้อตัวนักการเมืองให้ย้ายพรรคฯ ด้วยเงินจำนวนสูง บางรายมีข่าวว่าเป็นหลัก 30 ล้านบาทขึ้นไป 

น่าสมเพชพรรคการเมืองไทย และนักการเมืองไทยที่พยายามจะโฆษณาว่า ขอให้ผู้มีสิทธิ์ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แต่ขณะเดียวกัน ฝั่งของนักการเมืองเองก็วิ่งหาพรรคฯ ใหม่กันอย่างอุตลุด แล้วปากของนักการเมืองก็ป่าวร้องว่าขอให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่งทั้งหมดนั้น มันแสนจะย้อนแย้งกันอย่างที่สุด เพราะตัวนักการเมืองเองไม่มีความบริสุทธิ์ แต่กลับเรียกร้องให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ นับว่าเป็นตลกร้ายทางการเมืองที่แสนน่าสมเพชอย่างที่สุด 

คำว่าการซื้อขายเสียง เป็นวาทะการเมืองที่อยู่ในสังคมไทยมานานหลายทศวรรษ และกลายเป็นวาระแห่งชาติมายาวนาน เพราะทุกครั้งเมื่อมีการเลือกตั้ง สส. ก็จะมีประเด็นสำคัญคือ การรณรงค์ป้องกันการซื้อขายเสียง ซึ่งเมื่อคนที่รู้เรื่องการเมืองไทยเป็นอย่างดีได้ยิน ก็ต้องหัวเราะด้วยความสังเวชเสมอมา 

การซื้อสิทธิ์ขายเสียงมีจริงในสังคมไทย แต่เป็นปัญหาที่ปราบปรามไม่ได้ กำจัดไม่ได้ ซึ่งไม่ต่างจากปัญหาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เห็นตำตากันทุกวัน แต่ไม่มีใครมีปัญญาแก้ได้ แต่ก็อ้างแบบโยนกลองว่า เพราะประชาชนยอมจ่ายเงินเกินราคาที่กำหนด ทำให้แก้ปัญหานี้ไม่ได้ 

การซื้อขายเสียงก็เช่นกัน แทนที่ผู้มีอำนาจรัฐ และผู้ควบคุมกฎหมายเลือกตั้งจะไปเล่นงาน และเอาผิดกับคนซื้อเสียง แต่กลับพูดทำนองว่า ขอให้ประชาชนอย่ารับเงินซื้อเสียง นั่นก็หมายความว่าผู้มีอำนาจรัฐไม่มีปัญญาจัดการแก้ปัญหานี้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็จึงโยนว่าปัญหานี้เกิดจากประชาชน

ถามว่าผู้มีอำนาจรัฐไม่รู้เลยหรือว่าในพรรคการเมือง ในสภานั้นเต็มไปด้วยนักการเมืองน้ำเน่า เต็มไปด้วยมาเฟีย เต็มไปด้วยเจ้าพ่อเจ้าแม่ผู้มีอิทธิพลเถื่อน เต็มไปด้วยนักเลงหัวไม้ เต็มไปด้วยนายทุน และนักธุรกิจการเมือง แต่เหตุไฉนจึงพูดทำนองโยนความผิดว่าการซื้อสิทธิ์ขายเสียงเกิดมาจากประชาชนยอมตกอยู่ในกระบวนการซื้อขายเสียง 

มีคำกล่าวเชิงน่าสมเพชว่า คนดีไม่ขายเสียง เหตุที่มองว่าน่าสมเพชก็เพราะ แทนที่ผู้มีอำนาจรัฐจะจัดการคนซื้อเสียงอย่างเด็ดขาด แล้วสมควรต้องประณามคนซื้อเสียงว่าเป็นคนสารเลว แต่กลับโยนกลองว่าขายเสียงเป็นคนเลว 

เรื่องแบบนี้มีเป็นปัญหาไก่กับไข่ ถามว่าอะไรเกิดก่อนกัน ระหว่างคนซื้อเสียง กับคนขายเสียง ถามใหม่ว่าคนขายเสียง เป็นผู้แปะป้ายประกาศว่ารับซื้อเสียง กระนั้นหรือ ผู้มีอำนาจรัฐไม่รู้จริงๆ หรือว่านักการเมืองคือตัวต้นเหตุของการซื้อขายเสียง เพราะเป็นการเสนอจากฝั่งนักการเมือง เมื่อมีการเสนอก็ย่อมมีผู้สนอง ประกอบกับการที่ประชาชนไทยจำนวนไม่น้อยมีฐานะยากจน ก็จึงตกเป็นเหยื่อของการซื้อขายเสียงเสมอมา แต่เมื่อพิจารณาถึงรากเหง้าของปัญญาจริงๆ ก็กลับพบว่าคนที่จนจริงๆ ก็กลับไม่ได้รับเงินจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียง เพราะหัวคะแนนพรรคการเมืองมองข้ามคนจนตัวจริงไป แล้วนำเงินไปจ่ายเพื่อซื้อเสียงกับกลุ่มคนจำพวกอยากจนมากกว่า เพราะคนกลุ่มนี้สามารถช่วยหัวคะแนนทำงานในการซื้อขายเสียงได้เป็นอย่างดี เพราะมีเครือญาติ มีกลุ่มคนรู้จัก เป็นต้น

ส่วนที่ตลกไม่แพ้กันก็คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะสาธารณชนมักรู้เห็นมาโดยตลอดว่า กกต. ไม่ค่อยมีปัญญาตามจับผู้ทุจริตการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ดังนั้นหลายต่อหลายครั้งก็จึงกลายเป็นว่า ผู้ซื้อเสียงที่ กกต. ไม่สามารถจับกุมเอาผิดได้ ก็สามารถลอยหน้าชูคอไปเป็น สส. และไปเป็นนา่ยกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีได้อย่างน่าขยะแขยง ซึ่งตรงนี้คือความอ่อนด้อยปัญญา และอ่อนด้อยฝีมือการทำงานเพื่อปราบปรามผู้กระทำผิดคดีซื้อสิทธิ์ขายเสียง

เมื่อ กกต. ไร้ป้ญญาเอาผิดกับผู้กระทำผิด โดยการแก้ตัวสารพัดเพื่อให้รอดพ้นจากการถูกระบุว่าไร้ปัญญาทำงาน ก็จึงต้องออกคำขวัญแบบไม่น่าจะแสดงให้เห็นว่า กกต. มีปัญญาที่เข้มแข็ง โดยทำเสมือนโยนความผิดไปที่ประชาชน โดยกล่าวว่า เราคนไทย พร้อมใจไม่ขายเสียง 

คำโฆษณาเชิงประจานความสามารถของ กกต. นี้ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า อ้าว! กกต. ผู้น่ารัก การเลือกตั้ง สส. ของประเทศไทยอนุญาตให้คนที่ไม่ใช่คนไทยไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้หรือ ถ้าเช่นนั้นก็แสดงให้เห็นว่า คนที่ขายเสียงในการเลือกตั้งก็คือคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนไทย คำถามคือ คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนไทยมีสิทธิ์เลือกตั้ง สส. ในประเทศไทยได้หรือ

ไปๆ มาๆ ประชาชนก็ตกเป็นแพะรับบาปเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียงไปโดยปริยาย แม้จะมีความจริงว่าประชาชนบางกลุ่มคือผู้ขายเสียงก็ตาม แ่ต่เรื่องนี้ก็ต้องกลับไปไล่เบี้ยเอาผิดกับผู้มีอำนาจรัฐที่ไม่สามารถจัดการแก้ปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียงอย่างเด็ดขาดได้ แต่ก็เป็นที่รู้กันคือผู้มีอำนาจรัฐทำได้อย่างเดียวคือ ไม่มองว่าตนเองไร้ปัญญาบริหาร และไร้ความสามารถแก้ปัญหา แต่สิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดคือ โยนความผิดให้ประชาชน โดยมองว่าผู้ขายเสียงเป็นคนไม่ดี เป็นคนผิด เป็นคนไม่รักประชาธิปไตย เป็นคนทำให้บ้านเมืองไม่สามารถพัฒนประชาธิปไตย

ในที่นี้จะไม่พูดถึงประเด็นคนดี คนเลว กับการซื้อสิทธิ์ขายเสียง แต่จะเน้นเฉพาะความไร้ปัญญาในการแก้ปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในฝั่งผู้มีอำนาจรัฐ 

ผู้มีอำนาจรัฐมาจากไหน คำตอบคือ มาจากนักการเมือง (ยกเว้นผู้มีอำนาจรัฐที่มาจากรัฐประหาร) แล้วนักการเมืองซื้อเสียงหรือไม่ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจรัฐไม่ยอมตอบ และไม่ยอมแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาด เพราะหากแก้ปัญหานี้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็หมายความว่าอาจจะตัดโอกาสการเข้าไปเป็นผู้มีอำนาจรัฐได้

ผู้มีอำนาจรัฐรู้ดีว่ารากเหง้าต้นตอของปัญหาการขายเสียงเกิดมาจากปัญหาความยากกจนเป็นสำคัญ ซึ่งหากจะพูดในเชิงวิชาการก็คือเป็นปัญหาพื้นฐานของสังคม ที่เกี่ยวข้องกับด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม(เป็นการอ้างที่แสนคลาสสิก ซึ่งอ้างมาแสนนาน แล้วก็จะอ้างแบบนี้ไปเรื่อยๆเพราะไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างเด็ดขาด)

ถามอีกครั้งว่า คุณเชื่อว่ามีการซื้อขายเสียงในการเลือกตั้งในบ้านเมืองของเรา หรือไม่ แล้วถามต่อไปว่า คนกลุ่มไหนที่อยู่ในกลุ่มถูกมองว่าขายเสียงมากที่สุด 

คำตอบคือ เชื่อว่ามีการซื้อขายเสียง แล้วก็ตอบว่า กลุ่มคนที่อยู่ในขอบเขตของผู้ขายเสียงมากที่สุดคือคนจน คนมีรายได้น้อย 

ถามว่าทำไมนักการเมือง และหัวคะแนนจึงต้องเลือกซื้อเสียงจากคนจน คำตอบคือ เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนมากในสังคม การซื้อเสียงจากคนกลุ่มนี้จึงทำให้มีโอกาสชนะการเลือกตั้ง แล้วเข้าไปกอบโกยโกงกินทรัพยากรของบ้านเมืองในว้นข้างหน้า 

หากจะพูดแบบดัดจริตแต่เป็นความจริงก็คือ ชนชั้นนำ (คนรวยแบบชนิดอภิมหาเศรษฐี) ในสังคมไทยสามารถควบคุมกลไกต่างๆ ในสังคมได้อย่างเบ็ดเสร็จ และมีความได้เปรียบชนกลุ่มที่ถูกเรียกว่าชนชั้นล่าง คนรากหญ้า (คนจน) 

ถ้าเช่นนั้น ถามว่าแล้วชนชั้นกลางในสังคมไทยหายไปไหน ก็ต้องตอบว่า ไม่ได้หายไปไหน แต่เป็นชนชั้นที่อาจไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องราวทางการเมืองมากนัก เพราะสนใจแค่เรื่องปากท้องและความเป็นอยู่ของตนเองเท่านั้น อาจจะมองประเด็นการเมืองบ้าง ในบางยุคบางโอกาส เมื่อผลประโยชน์ของตนถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ก็จะออกมารวมตัวเคลื่อนไหวสักครั้ง แล้วหลังจากนั้นก็กลับเข้าสู่สภาวะเดิมคือ ทำทุกอย่างเพื่อปากท้องของตนเอง โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการช่วยแก้ไขปัญหารากเหง้าของสังคม  

เคยลองนึกบ้างไหมว่า หากเรามีรายได้วันละ 100 หรือ 200 บาท เราจะรู้สึกตื่นตูมจนเนื้อเต้นหรือไม่ เมื่อได้ยินนักการเมืองโกหกแบบไร้ยางอายว่า จะทำให้เรามีรายได้วันละ 600-700 หรือบางรายโกหกหนักเข้าไปอีก คือให้มีรายได้วันละ 1 พันบาท แถมยังจะให้สวัสดิการแบบชนิดที่ว่าเหมือนอยู่ในสวรรค์ชั้นสุขาวดีอีกด้วย เช่น เจ็บป่วยก็ได้รับการรักษาฟรี ค่ารถไฟฟ้าก็จะถูกลง ค่าไฟฟ้าก็จะถูกลง ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงก็จะถูกลง จะได้เรียนฟรีจนจบปริญญาตรี จะมีเงินให้ใช้ฟรีๆ ทุกเดือน เดือนละ700 ถึง 1,000 บาท จะให้ทุนการศึกษาลงไปถึงระดับตำบล และอำเภอ ให้เงินฟรีๆ เข้ากระเป๋าตังค์ดิจิทัล ให้การรักษาฟรีที่ยิ่งกว่าฟรี เรียกว่าฟรีจนเกินคำว่าฟรี (ซึ่งเลื่อนลอยมาก) จะล้างหนี้สินให้คนทุกคน จะพักหนี้ให้ จะให้คนที่เรียนจบปริญญาตรีมีเงินเดือน 25,000 บาท จะสอนภาษาที่สองที่สามให้กับทุกโรงเรียนทั่วประเทศ ให้คอมพิวเตอร์ แท็บเลตฟรี รวมถึงจะเลิกการเกณฑ์ทหาร เลิกเครดิตบูโร จะปราบปรามปัญหาอาชญากรรมให้สิ้นซาก ฯลฯ 

ถามจริงๆ และบอกตรงๆ ว่าการเพ้อพล่ามเรื่องนโยบายเพ้อฝันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก แค่หลับตาและพล่ามไปเรื่อยๆ ก็จบแล้ว แต่ปัญหาคือมีปัญญาทำได้จริงหรือ จะหาเงินจากไหนมาทำให้เกิดขึ้นเป็นความจริง 

ขอถามคำถามใหม่ว่าจะเป็นไปได้อย่างไรเมื่อเจ้าของพรรคการเมืองยังทำผิดกฎหมาย ยังหนีคดีอาญาแผ่นดิน แล้วอ้างว่าจะขจัดปัญหาอาชญากรรมให้หมดไปจากประเทศไทย

จะเป็นไปได้อย่างไรที่คนซึ่งถูกอุปโลกน์เป็นหัวหน้าครอบครัว ที่มาจากครอบครัวซึ่งพ่อยังเป็นนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดิน จะกลับมาทำให้แผ่นดินนี้มีกฎหมายที่ศักดิ์สิทธิ์

จะเป็นไปได้อย่างไรที่เมื่อเจ้าของพรรคการเมืองผู้มีสถานภาพเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนที่ขูดรีดค่าบริการแสนจะแพง จะทำนโยบายให้การรักษาพยาบาลฟรีทุกโรค

จะเป็นไปได้หรือเมื่อหัวหน้าครอบครัว ยังต้องทุจริตการสอบเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย จะเข้ามาปฏิรูปคุณภาพการศึกษาของไทย

แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่นักธุรกิจการเมืองซึ่งมีสถานเป็นเพียงหุ่นเชิดทางการเมืองของเจ้าของพรรคการเมืองที่ยังหนีกฎหมายจะเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ประเทศ เขาจะมีปัญญาทำให้คนยากคนจนมีฐานะดีขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อเขาก็ยังกดค่าแรงขั้นต่ำในการทำธุรกิจของตนเอง เพื่อให้ตนเองได้กำไรมหาศาล ดังนั้นการโกหกว่าจะขึ้นค่าแรงให้เป็นวันละกี่ร้อยต่อกี่ร้อย จึงเป็นเพียงคำโกหกที่น่าสมเพช แต่ที่น่าสมเพชยิ่งกว่าคือดันมีคนหลงเชื่อ แต่ที่น่าสมเพชยิ่งกว่าน่าสมเพชหลายร้อยเท่าคือ หน่วยงานที่มีหน้าป้องกันและขจัดการโกหกโดยนักการเมืองที่อ้างว่าเป็นนโยบายการเมือง กลับไม่มีปัญญาจัดการขัดเด็ดขาดกับคนโกหกที่ลอยหน้าโกหกกันเต็มเมืองในยามนี้ 

ดังนั้น การจัดการปัญหาอันดับแรกของเรื่องนี้คือ ต้องยุบเลิกหน่วยงานที่ไรัปัญญาทำงานตามหน้าที่ของตนออกไปก่อน เพราะมีต่อไปก็เปล่าประโยชน์ เปลืองเงินงบประมาณแผ่นดิน แถมยังเป็นที่ฝังรกฝังรากของกลุ่มผู้เป็นลิ่วล้อลูกสมุนของผู้มีอำนาจรัฐ

การซื้อเสียงโดยผ่านนโยบายแสนจะโกหกเป็นเรื่องที่ต้องถูกกำจัดให้หมดสิ้นไปจากบ้านเมืองนี้เป็นอันดับแรก ก่อนจะประณามว่าคนขายเสียงเป็นคนเลว คนชั่ว คนไม่รักษาประชาธิปไตย 

ถามทิ้งท้ายว่า หากไม่มีการอนุญาตให้นักการเมืองโกหกด้วยนโยบายขายฝัน ในรูปแบบประชานิยมล้นเมืองแบบทุกวันนี้การซื้อขายเสียงจะลดลงหรือไม่ ดังนั้น การอนุญาตให้ซื้อเสียงโดยผ่านนโยบายลวงโลก ทำนองประชานิยม จึงจำเป็นต้องถูกถอนรากถอนโคนถูกกำจัดไปโดยเร็ว หากนโยบายลวงโลกยังคงอยู่ ก็หมายความว่าหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดการกับนักการเมืองที่ตั้งใจโกหกประชาชน ไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน เมื่อไร้ประสิทธิภาพก็ต้องเอาคนไร้ประสิทธิภาพออกไป หากยังปล่อยให้คณะทำงานเป็นผู้ไร้ประสิทธิภาพอยู่ต่อไป ก็จำเป็นต้องยุบทิ้งหน่วยงานที่ไร้คุณประโยชน์ ไร้ประสิทธิภาพทิ้งไปโดยเร็ว เพราะมีไปก็สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน 

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  
  • Breaking News
  • ข่าวยอดนิยม
  • คอลัมน์ฮิต
15:41 น. แอดมิทด่วน! 'เอ๊ะ จิรากร'เล่าประสบการณ์หัวใจเต้นผิดปกติ
15:40 น. 'อนุสรณ์'แนะเปิดใจรับฟังเหตุผลงบรีโนเวตสภาฯ ไม่ใช่ตัดสินไปก่อน
15:20 น. ป่วนใต้หลายจุด! จุดไฟเผากล้อง-แขวนป้าย-วางวัตถุต้องสงสัย 3 อำเภอในยะลา
15:14 น. 'ทวี'เผย'กกต.'ประสาน'ดีเอสไอ'แปะหมายเรียกหน้าบ้าน 6 สว. คดีฮั้ว
15:09 น. วัฒนธรรมโบราณ! พิธีล้างพระธาตุศรีสองรัก สักขีพยานสัมพันธไมตรีสองแผ่นดิน 465 ปี
ดูทั้งหมด
ภาพอบอุ่นใจความรักที่งดงามของ 'กษัตริย์จิกมี-สมเด็จพระราชินี-เจ้าชาย-พระธิดา' ในยามค่ำคืนของทะเลทรายโกบี
(คลิป) 'ฐปณีย์' เละคาบ้าน! ด้อยค่าคนไม่เห็นด้วย 'เมียจ่าปืน' ออกโรงตอกกลับไม่ใช่ IO
‘ลาออก’ไปเถอะ! ฉะ‘นายกฯ’มีสติปัญญาแค่นี้ แผ่นเสียงตกร่องชู‘กาสิโน’แก้เศรษฐกิจ
มาแล้ว! กรมอุตุฯคาดหมายอากาศ 7 วันข้างหน้า ตั้งแต่ 4-10 พ.ค.68
หยามเกียรติธงชาติไทย! ทนายแจ้งเอาผิด โพสต์เฟสบุ๊คดูหมิ่น'ธงคือผ้าเช็ดเท้า'
ดูทั้งหมด
อวสาน‘ทักษิณ’คุกรออยู่
ความต่างของ สิงคโปร์ กับ ไทย
คุกนรก (1)
นักการเมือง ‘ส้มสารพิษ’
บุคคลแนวหน้า : 9 พฤษภาคม 2568
ดูทั้งหมด

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

'อนุสรณ์'แนะเปิดใจรับฟังเหตุผลงบรีโนเวตสภาฯ ไม่ใช่ตัดสินไปก่อน

แอดมิทด่วน! 'เอ๊ะ จิรากร'เล่าประสบการณ์หัวใจเต้นผิดปกติ

เศร้า! ช้างป่ากุยบุรีขาเจ็บล้มแล้ว สะเทือนใจผลชันสูตร

ปตท. ลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่มแหล่งอาทิตย์เสริมความมั่นคงพลังงานไทย

'ทวี'เผย'กกต.'ประสาน'ดีเอสไอ'แปะหมายเรียกหน้าบ้าน 6 สว. คดีฮั้ว

วัฒนธรรมโบราณ! พิธีล้างพระธาตุศรีสองรัก สักขีพยานสัมพันธไมตรีสองแผ่นดิน 465 ปี

  • Breaking News
  • แอดมิทด่วน! \'เอ๊ะ จิรากร\'เล่าประสบการณ์หัวใจเต้นผิดปกติ แอดมิทด่วน! 'เอ๊ะ จิรากร'เล่าประสบการณ์หัวใจเต้นผิดปกติ
  • \'อนุสรณ์\'แนะเปิดใจรับฟังเหตุผลงบรีโนเวตสภาฯ ไม่ใช่ตัดสินไปก่อน 'อนุสรณ์'แนะเปิดใจรับฟังเหตุผลงบรีโนเวตสภาฯ ไม่ใช่ตัดสินไปก่อน
  • ป่วนใต้หลายจุด! จุดไฟเผากล้อง-แขวนป้าย-วางวัตถุต้องสงสัย  3 อำเภอในยะลา ป่วนใต้หลายจุด! จุดไฟเผากล้อง-แขวนป้าย-วางวัตถุต้องสงสัย 3 อำเภอในยะลา
  • \'ทวี\'เผย\'กกต.\'ประสาน\'ดีเอสไอ\'แปะหมายเรียกหน้าบ้าน 6 สว. คดีฮั้ว 'ทวี'เผย'กกต.'ประสาน'ดีเอสไอ'แปะหมายเรียกหน้าบ้าน 6 สว. คดีฮั้ว
  • วัฒนธรรมโบราณ! พิธีล้างพระธาตุศรีสองรัก สักขีพยานสัมพันธไมตรีสองแผ่นดิน 465 ปี วัฒนธรรมโบราณ! พิธีล้างพระธาตุศรีสองรัก สักขีพยานสัมพันธไมตรีสองแผ่นดิน 465 ปี
ดูทั้งหมด

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้อง

ปากแจ๋ว ปากพล่อย อ้างวิชาการบังหน้า

ปากแจ๋ว ปากพล่อย อ้างวิชาการบังหน้า

4 พ.ค. 2568

ประเทศวิบัติ เพราะนักการเมืองโง่มีอำนาจรัฐ

ประเทศวิบัติ เพราะนักการเมืองโง่มีอำนาจรัฐ

27 เม.ย. 2568

อันวาร์, มิน อ่อง หล่าย, ทักษิณ และแพทองธาร

อันวาร์, มิน อ่อง หล่าย, ทักษิณ และแพทองธาร

20 เม.ย. 2568

แพทองธารไม่เห็นปัญหา reciprocal tariff

แพทองธารไม่เห็นปัญหา reciprocal tariff

13 เม.ย. 2568

แก้ปัญหา US tariff ด้วยสติปัญญาของแพทองธาร!!!

แก้ปัญหา US tariff ด้วยสติปัญญาของแพทองธาร!!!

6 เม.ย. 2568

แผ่นดินไหว ภัยพิบัติที่รัฐบาลไทยไม่เคยเตรียมตัว

แผ่นดินไหว ภัยพิบัติที่รัฐบาลไทยไม่เคยเตรียมตัว

30 มี.ค. 2568

ดูเตอร์เต-ทักษิณ ความเหมือนที่ต่างกันกับสงครามปราบยาเสพติด

ดูเตอร์เต-ทักษิณ ความเหมือนที่ต่างกันกับสงครามปราบยาเสพติด

23 มี.ค. 2568

ทักษิณ ชินวัตร กลัวถูกซักฟอกกลางสภา แต่อยากมีอำนาจการเมือง

ทักษิณ ชินวัตร กลัวถูกซักฟอกกลางสภา แต่อยากมีอำนาจการเมือง

16 มี.ค. 2568

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved