ไม่แปลกใจกับพฤติกรรมต่ำตมของนักการเมืองคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งครั้งสองครั้ง แต่กลับตาโตโอ้อวดสำรอกสำรากเพ้อเจ้อกับ 14 ล้านเสียงที่กากบาทเลือกให้มาเป็นตัวแทนประชาชนส่วนหนึ่งเพื่อดำเนินงานทางการเมืองในบางเรื่อง แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะอ้างฉันทามติประชาชนนี้
เป็นความต่ำตมต่อเนื่องมาตั้งแต่ยังเป็นพรรคอนาคตใหม่อยู่เลย ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น พฤติกรรมที่ปฏิบัติกลับไม่เคยโทษความผิดของตัวเอง อ้างโดนกลั่นแกล้ง แถยืดยาวในลักษณะบิดเบือน เน้นโกหกเสียงดังไว้ก่อน ทั้งๆ ที่ความผิดสำเร็จแล้ว สุดท้ายก็ใช้สื่อในอาณัติชี้นำความคิดหลอกใช้มวลชนไปสู่กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายเช่นเคย เรียกว่า “สู้ไป ตอแหลไป” อย่างที่ปรากฏ
ประเด็นการถือหุ้น “สื่อไอทีวี” จะว่าไปแล้วคล้ายคอนเทนต์ที่เกิดขึ้นจากปฏิบัติการไอโออันเป็นอาวุธทางการเมืองที่ถนัดใช้ถนัดโชว์ของกลุ่มการเมืองและนักเลือกตั้งชังชาติ คือสร้างปมประเด็นปัญหาเพื่อให้แกะหลงเข้ามาท่ามกลาง “เดรัจฉานอย่างฝูงไฮยีน่า”เพียงเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการปลุกปั่นให้อลหม่านฝุ่นตลบ ให้เสมือนถูกฝ่ายอนุรักษ์นิยมและเผด็จการทหารรังแกถูกตัดสิทธิ์เพียงเพื่อเลี้ยงมวลชนฐานเสียงเอาไว้ ในขณะที่ควบคุมสื่อปีศาจบางส่วนเอาไว้ให้ออกข่าวบิดเบือนเหมือนโดนกระทำ เพื่อให้ด้อมส้มโกรธและเคียดแค้น จากนั้นคนเหล่านี้เมื่อทนไม่ได้ก็จะลงถนน หากมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่หรืออาจไปถึงสงครามกลางเมือง ก็จะเข้าทางพวกเขาทันทีโดยการใช้มวลชนที่บาดเจ็บและอาจจะ (ถึงตาย) เพื่อกดดันบีบรัฐบาล
จำเป็นต้องมองบทบาทของนักการเมืองเสียชาติเกิดและนักเลือกตั้งชังชาติเยี่ยงนี้เพราะเกิดการสอดรับกับพฤติกรรมต่ำตมของ “ทิม - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตของพรรคที่กำลังจะถูกเสนอชื่อโหวตเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ที่อมยิ้มเมื่อหมดปัญญาแถกับคำถามของสื่อมวลชนกรณีการขายหุ้นไอทีวีที่ตัวเองเคยตอกย้ำมาโดยตลอดว่าเป็นหุ้นมรดกจำนวน 42,000 หุ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมาตามข้อมูลของ “เรืองไกรลีกิจวัฒนะ” อดีตสมาชิกวุฒิสภาจากการสรรหา และผู้ร้องคณะกรรมการการเลือกตั้งสอบคุณสมบัตินายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติตามมาตรา 98 อนุมาตรา 3,(3) เนื่องจากถือหุ้นสื่อสารมวลชน
พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการถามคำถามของสื่อที่นายพิธาแสดงออกคือ ยิ้มไม่ตอบและเลี่ยงขึ้นรถไปโดยไม่มีพิกุลทองร่วงจากปากสักดอก พฤติกรรมต่ำตมนี้“สี จิ้นผิง เมืองไทยในสายตาของสมพร จึงรุ่งเรืองกิจมารดา “เอก-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”อดีตหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคอนาคตใหม่ ประธานคณะก้าวหน้า ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกลเคยวิเคราะห์พฤติกรรมนี้อย่างตรงไปตรงมาโดยด้อยค่าสังคมไทยสุดเหยียดว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะสังคมไทยไร้จุดยืน เมื่อเจอคำถามที่ตอบไม่ได้ก็มักจะยิ้มแล้วไม่พูดอะไรออกไป
น่าสมเพชกับตรรกะของนักการเมืองเสียชาติเกิดที่แสดงพฤติกรรมชังชาติด้อยค่าวัฒนธรรมอันสวยงามของชาติเสียสิ้น ในคอลัมน์ซอยสวนพลูของ “หม่อมป้า-หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช” อดีตนายกรัฐมนตรีสองประเทศคนเดียวในโลก(ประเทศสารขัณฑ์ในปี พ.ศ.2516 และนายกรัฐมนตรีประเทศไทยในปี 2518)เล่าที่มาที่ไปของ “ยิ้มสยาม” ว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาติตะวันตกยกพลมาขึ้นบกที่ประเทศไทย
ยุคสมัยนั้นคนไทยยังไม่มีความรู้ความสามารถเรื่องภาษาอังกฤษทั้งฟังและพูด เวลาที่ฝรั่งถามอะไรมาด้วยความที่ฟังไม่ออกอย่างหนึ่ง และบางทีก็ฟังฝรั่งพูดออกรู้เรื่องแต่ไม่รู้จะตอบว่าอะไร จึงแสดงออกด้วยการยิ้ม ยุคนั้น ประเทศไทยเองก็ตกอยู่ในภาวะยอมจำนนต่อกระแสอันเชี่ยวกรากของวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไหลบ่าเข้ามาในประเทศไทยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมอเมริกันที่ทำให้เกิดโก๋หลังวัง ไปจนถึงกระแสเมียเช่า
แต่ก็มีเฉพาะพวกตะวันตกและชาติมหาอำนาจเท่านั้นแหละ ที่มองเห็น “ยิ้มสยาม” อันแสนภาคภูมิของคนไทยและกระทรวงวัฒนธรรมของไทย เป็นรอยยิ้มที่เราไม่จำเป็นต้องไปประจบ ทว่า ยิ้มสยาม ต้องมาพร้อมกับมารยาททางสังคมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการไหว้ การสวัสดี
การขอบคุณ หรือการขอโทษ ทั้งหมดนี้ ต้องมา!!!
เพราะทั้งหมดนี้แหละคือความเป็นไทย วัฒนธรรมอันดีงามของประเทศไทย
ไม่ใช่อาการของคนไร้จุดยืนตามตรรกะของนักการเมืองเสียชาติเกิดแต่อย่างใด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี