กฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ. 2567 ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อเร็วๆ นี้ กำลังเป็นประเด็นร้อนฉ่า
เป็นที่กล่าวขาน แชร์ข่าวต่อๆ กันในโลกออนไลน์ รวมถึงในสื่อมวลชนหลายสำนัก
โดยเฉพาะเหล่าอินฟลูฯ หยิบเอาเรื่องนี้มาจิกหัวด่ารัฐมนตรีสาธารณสุข จากพรรคเพื่อไทยขนานใหญ่
โจมตีรัฐบาลปัจจุบันในทำนองว่า เปิดทางให้ยาบ้าระบาดทั่วเมือง (ยาเสพติดอื่นด้วย) เพราะได้ออกประกาศ สธ. ให้ยาบ้าต่ำกว่า 5 เม็ดไม่ผิดกฎหมาย !?!?
ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตำรวจ และป.ป.ส. ถึงกับต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริง
1. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า การเสพยาเสพติดให้โทษ โดยเฉพาะเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) หากไม่เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด คือ 5 เม็ด และไม่มีพฤติการณ์แวดล้อมที่ระบุว่าเป็นผู้ค้า ให้ถือเป็นผู้เสพต้องเข้ารับการบำบัด
แต่ถ้ามีพฤติการณ์หรือสภาพแวดล้อมเชื่อมโยงได้ว่าเป็นผู้ค้า แม้เพียง 1 เม็ดก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
“...การออกกฎกระทรวงครั้งนี้ เป็นมติเอกฉันท์ร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางหลักเกณฑ์ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดประเภทยาบ้า โดยผู้ที่มียาบ้าในครอบครองไม่เกิน 5 เม็ด ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ และถือเป็นผู้ป่วยที่ต้องนำไปบำบัดรักษาให้หาย
แต่ทั้งนี้ ขึ้นกับความสมัครใจของผู้นั้น ถ้าไม่สมัครใจรับการบำบัด ก็จะถูกดำเนินคดีข้อหา “ครอบครองเพื่อเสพ” ตาม มาตรา 164 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่หากพิสูจน์ได้ว่ามีพฤติการณ์ที่เป็นการครอบครองเพื่อขาย ไม่ว่าจะกี่เม็ด ต้องถูกดำเนินคดีและลงโทษตามกฎหมายฐานเป็นผู้ค้า” – รมว.สธ.กล่าวยืนยัน
2. พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการป.ป.ส. ชี้แจงว่า ป.ป.ส มีหน้าที่บูรณาการทั้งการบำบัด ฟื้นฟู สนับสนุน การบังคับใช้กฎหมาย และกำหนดนโยบาย รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติด มติที่มีความเห็นร่วมกันเรื่องปริมาณการเสพและการครอบครองที่ออกมาแล้วนั้น ถือเป็นเอกฉันท์
โดยขณะนี้ มีตัวเลขผู้เสพของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ประมาณ 530,000 คน
ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มสีแดง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นอันตรายต่อสังคมถึง 32,000 คน
นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล คือ นำผู้เสพ 32,000 คนนี้ เข้ามาสู่การบำบัดให้ได้
ทั้งนี้ การครอบครองยาเสพติดไม่ว่าจำนวนกี่เม็ด เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพิจารณาจากพฤติกรรมและรายงานการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ด้วย การมี 1-2 เม็ดแล้วจะอ้างว่ามีไว้เพื่อเสพ แต่เจ้าหน้าที่สืบสวนพบมีพฤติการณ์เป็นผู้ขายก็ต้องได้รับโทษ
3. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับ ป.ป.ส. ดำเนินการป้องปรามและบังคับใช้กฎหมายมาโดยตลอด จากข้อมูลในปีงบประมาณ 2564 ถึงล่าสุดมกราคม 2567 มีการจับกุมทุกข้อหาที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งสิ้น 827,552 คดี
สำหรับกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ออกตามความในมาตรา 107 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งกำหนดให้การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ประเภท 2 หรือประเภท 5 หรือวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 ในปริมาณเล็กน้อย ตามที่กำหนดไว้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ ซึ่งจะช่วยให้การจำแนกความผิดข้อหา “ครอบครองเพื่อเสพ” และข้อหา “ครอบครอง” มีความชัดเจนมากขึ้น
4. ชัดเจนว่า ไม่ได้มีการไฟเขียวให้ครอบครองยาบ้าไม่เกิน 5 เม็ดอย่างเสรี หรือเสพยาบ้าอย่างเสรีไม่ผิดกฎหมาย
การกล่าวต่อๆ กันไปอย่างคลาดเคลื่อน อาจไม่เข้าใจสาระทั้งหมด หรือดูแค่ตัวประกาศที่ออกมา โดยไม่เข้าใจบริบทของกฎหมายหลักและแนวนโยบายอย่างถ่องแท้ หรือบางส่วนก็ผสมโรงปั่นข่าวเท็จดิสเครดิตรัฐบาล นำมาสู่ความเข้าใจผิดๆ และเกิดความตื่นตระหนกในสังคม
เมื่อเปิดกฎกระทรวงและประมวลกฎหมายยาเสพติด ก็จะเข้าใจถึงเจตนาที่แท้จริงของแนวทางแก้ปัญหายาเสพติดในขณะนี้
กระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ.2567 ระบุว่า การมีไว้ในครอบครองยาเสพติดจำพวก
- แอมเฟตามีน เอ็นเอ-ทิล เอ็มดีเอ หรือเอ็มดีอี แอลเอสดี เมทแอมเฟตามีนปริมาณไม่เกิน 5 หน่วยการใช้
- เฮโรอีน น้ำหนักสุทธิไม่เกิน 300 มิลลิกรัม
- โคคาอีน ไม่เกิน 200 มิลลิกรัม
- ฝิ่น ไม่เกิน 5,000 มิลลิกรัม ฯลฯ
ให้สันนิษฐานว่าเป็น “ผู้เสพ”
แต่ไม่ได้หมายความว่า กระทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
กฎกระทรวงฉบับนี้ ออกตามความใน มาตรา 107 วรรค 2 แห่ง “ประมวลกฎหมายยาเสพติด” เพื่อกำหนดว่ายาเสพติดใน “ปริมาณเล็กน้อย” ที่ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้เสพนั้น คือปริมาณเท่าใด
เพราะฉะนั้น จึงต้องไปดู “ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564”ซึ่งมีข้อที่น่าสนใจ ดังนี้
ม.162 ผู้ใดเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 , 2 , 5 หรือ เสพวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 หรือ 2 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ
ม.164 ผู้ใดมีไว้ในครอบครอง เพื่อเสพ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ม.165 ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาพิพากษา โดยคำนึงถึงการสงเคราะห์ให้จำเลยเลิกเสพยาโดยการบำบัดรักษา และพิจารณาลงโทษให้เหมาะสมกับจำเลยแต่ละคน ผลร้ายแรงตามประเภทและปริมาณยาเสพติด ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้กระทำผิด
ม.168 เมื่อมีการฟ้องต่อศาลว่าบุคคลใดกระทำความผิด ถ้าบุคคลนั้นไม่อยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดอื่น ในกรณีศาลเห็นว่าพฤติการณ์แห่งคดียังไม่สมควรลงโทษจำเลย หากจำเลยสำนึกในการกระทำ โดยตกลงเข้ารับการบำบัดรักษา เมื่อศาลสอบถามพนักงานอัยการแล้ว หากศาลเห็นสมควร ให้ส่งตัวจำเลยไปสถานพยาบาลยาเสพติดเพื่อเข้ารับการบำบัดรักษาต่อไป
ม.169 เมื่อจำเลยเข้ารับการบำบัดรักษาและปฏิบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขของคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด จนได้รับการรับรองเป็นหนังสือว่าเป็นผู้ผ่านการบำบัดรักษา เป็นที่น่าพอใจจากหัวหน้าสถานพยาบาล หรือ สถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยา ให้ศาลสั่งยุติคดี เว้นแต่จะต้องมีคำสั่งเกี่ยวกับของกลาง และให้ผู้นั้นพ้นจากความผิด
(วรรคสอง) ถ้าจำเลยไม่ให้ความร่วมมือในการบำบัดรักษาจนครบถ้วนให้ศาลยกคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาต่อไป
สรุปได้ว่า “ผู้เสพ” ยังคงมีความผิดตามกฎหมาย มีโทษทั้งจำและปรับ
แต่หากสมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษาในสถานบำบัด และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขจนได้รับการรับรองเป็นหนังสือ ศาลสั่งยุติคดี จึงจะถือว่าพ้นจากความผิดในฐานะผู้เสพ
แต่หากไม่ให้ความร่วมมือในการบำบัดรักษา ศาลยกคดีขึ้นพิจารณาต่อก็ต้องรับโทษในฐานะผู้เสพต่อไป
และกรณีถ้าคือครองยาบ้าน้อยกว่า 5 เม็ด แต่มีพฤติการณ์ค้ายา ส่งยา ฯลฯ ก็สามารถถูกดำเนินคดีฐานค้ายาเสพติดซึ่งมีโทษสถานหนักอยู่นั่นเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี