ผมได้เคยทักท้วงว่าโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นการจ่าย “เงินแผ่นดิน” ที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 140 บัญญัติไว้ ดังนี้.....
“การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือกฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง หรือกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ....”
แต่ความต้องการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นเพียงวิกฤติของรัฐบาลที่สร้าง Fake News ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการกู้เงินตามมาตรา 53 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 ที่บัญญัติไว้ในตอนท้ายของมาตรา 140 ที่อนุญาตให้จ่ายเงินแผ่นดินได้ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง เพราะรัฐบาลไม่สามารถหาเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้ได้เท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากวิกฤติของประเทศแต่อย่างไรเลย โดยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถึงกับเปรียบเทียบปัญหาเศรษฐกิจในประเทศเหมือนกับโรคมะเร็ง ที่มีดิจิทัลวอลเล็ตคือการให้คีโม
การใช้มาตรา 53 ของกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ เป็นการกู้เงินที่ไม่มีเพดานจำกัด เป็นเงินนอกงบประมาณ ที่ไม่ต้องส่งเข้าเป็นเงินคงคลัง เป็นข้อยกเว้นนอกเหนือกฎหมายว่าด้วยบริการหนี้สาธารณะที่กำหนดวัตถุประสงค์ไว้และมีเพดานการกู้เงินไว้ชัดเจน
ดังนั้น การกู้เงินตามมาตรา 53 ซึ่งเป็นการออกกฎหมายกู้เงินนอกจากกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะจึงมีเงื่อนไขกำหนดว่า
n มีความจำเป็น
n ต้องดำเนินการโดยการเร่งด่วนและต่อเนื่อง
n เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ และ
n ไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน
นอกจาก บทบัญญัติในมาตรา 53 แล้วพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ยังได้กำหนด แนวทางปฏิบัติ ระเบียบกฎเกณฑ์และกระบวนการทางการเงินการคลังเพื่อให้รัฐบาลนำไปปฏิบัติในการรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศ กล่าวโดยสรุป คือ
มาตรา 6 รัฐจะก่อหนี้ต้องรักษาวินัยการเงินการคลังตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
มาตรา 7 การตรากฎหมาย ต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลัง
มาตรา 9 คณะรัฐมนตรีต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว
มาตรา 49 การก่อหนี้และการบริหารหนี้สาธารณะต้อง
n เป็นไปตามกฎหมาย อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ
n เพื่อรักษาประโยชน์ของประเทศโดยต้องกระทำด้วยความรอบคอบ และ
n คำนึงถึงความคุ้มค่า ความสามารถในการชำระหนี้ การกระจายภาระการชำระหนี้เสถียรภาพและความยั่งยืนทางการคลัง ตลอดจนความน่าเชื่อถือของประเทศและของหน่วยงานของรัฐผู้กู้
มาตรา 56 การกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้ทำได้เฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนโดยไม่อาจใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายได้ และ
มาตรา 57 การกู้เงินตามมาตรา 53 และ มาตรา 56 จำกระทำได้แต่เฉพาะแผนงานหรือโครงการที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจหรือสังคม
จากบทบัญญัติที่กล่าวมาข้างต้นเห็นได้ว่าถ้าจะมีการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet โดยการออกพระราชบัญญัติกู้เงินนั้นก็จะไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ
โดยเฉพาะการใช้มาตรา 53 ในกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างผิดที่ผิดทางเป็นการทำลายวินัยการเงินการคลังเสียเอง
อันขัดกับชื่อกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ แม้จะใช้เสียงข้างมากในสภาผ่านไปได้ แต่อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ตกเป็นโมฆะได้
เพราะร่างพระราชบัญญัติกู้เงิน ถือเป็นร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเงิน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 134 (3) ซึ่งก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชบัญญัติใดขึ้นทูลเกล้าเพื่อให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยตาม มาตรา 81
หาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือ สมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาสามารถฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ได้ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 148
รัฐบาลเศรษฐาอาจจะต้องเผชิญวิกฤติจนถึงขั้นต้องลาออกก็เพราะเหตุนี้ครับ
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี