“สถานการณ์ สร้างวีรบุรุษ” สำนวนนี้ น่าจะจำกัดความได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน“ยุทธจักรสีกากี” ณ เวลานี้ เมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายกรัฐมตรีได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 33 (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 สั่งให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป พร้อมกันนี้ได้มีหนังสือแต่งตั้ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. เป็นผู้รักษาราชการแทนในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยให้มีหน้าที่และอำนาจเช่นเดียวกับ ผบ.ตร.
คำสั่งดังกล่าวของนายเศรษฐา ทวีสิน ชอบด้วยประการทั้งปวง เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาตินับวันมีแต่จะบานปลายขยายวงมากยิ่งขึ้น หากไม่ยุติปัญหาก็อาจเป็นไปได้ว่า ตำรวจ“น้ำดี”ที่ยังเหลืออยู่ในองค์กรผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แห่งนี้ ก็จะมีเพียงแค่อนุสาวรีย์รูปปั้นตำรวจอุ้มประชาชน และมีหนูน้อยเกาะขาตำรวจ พร้อมกับตัวหนังสือที่เขียนไว้ข้างล่างว่า “อนุสาวรีย์ผู้พิทักษ์รับใช้ประชาชน”เท่านั้น
อนุสาวรีย์ตำรวจ หรือชื่อเต็มว่า“อนุสาวรีย์ผู้พิทักษ์รับใช้ประชาชน” ซึ่งเป็นผลงานการปั้นของ“ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี” ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร สร้างแล้วเสร็จและมีพิธีเปิดในสมัย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2496 ตรงกับ“วันตำรวจ”ในทุกวันนี้ โดยอนุสาวรีย์นี้ถือเป็นสื่อสัญลักษณ์และจิตวิญญาณตำรวจ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงคุณงามความดีของข้าราชการตำรวจผู้กล้าหาญและเสียสละ ที่“อดทน ตรากตรำ ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด” แม้กระทั่งชีวิตและเลือดเนื้อก็ยอมพลี
แต่ในความเป็นจริงทุกวันนี้นั้น ถึงแม้ในแวดวงยุทธจักรสีกากีหรือยุทธจักรโล่เงินจะมีตำรวจ“น้ำดี”อยู่บ้าง หากแต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังเห็นว่า ตำรวจมิได้เป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้อย่างแท้จริง ถึงกับมีวลีเสียดเย้ยตำรวจว่า “เห็นโจรยังอุ่นใจกว่าเห็นตำรวจ” และเพลงมาร์ชตำรวจ ที่ว่า “...ถึงตัวจะตายก็ช่างมัน มิเคยคำนึงถึงชีวัน เข้าประจันเหล่าร้าย เพื่อประชา ไม่ยอมเป็นมิตร ผู้ผิดกฎหมาย...” นี่ก็เป็นเพียงแต่เนื้อเพลงที่คอยปลุกเร้าเพื่อหล่อหลอมจิตใจให้ตำรวจส่วนใหญ่เป็นตำรวจน้ำดีเท่านั้นเอง เนื่องจากเวลาเกิดเหตุร้าย ตำรวจมักจะมาถึงที่เกิดเหตุเป็นคนสุดท้ายเหมือนในหนังทุกครั้งไป
ความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่เป็นเบอร์หนึ่งและเบอร์สองของตำรวจแห่งชาติในฐานะผู้บังคับบัญชากำลังพลตำรวจทั้งประเทศ 2 แสนกว่าคน ก็เป็นเพราะปัญหา“เงินสีเทา”อันเป็น“ส่วยยุคดิจิทัล”จากเว็บพนันออนไลน์ เรียกว่า“ยิ่งสาวก็ยิ่งเละ”ทั้งสองฝ่าย
ดังเนื้อหาในคำสั่งย้ายของนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ระบุว่า “...มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานตามควรที่ปรากฏถึงความขัดแย้ง จนที่เป็นที่ประจักษ์ทั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติและประชาชนทั่วไป แบ่งฝักแบ่งฝ่ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งในทางการบริหารงานบุคคล และงานต้านกระบวนการยุติธรรม จนถึงขนาดมีการกล่าวหาต่อกันและกันในเรื่องส่วนตัว...”
และอีกตอนหนึ่ง “...จนกระทั่งที่สุดถึงขนาดมีการกล่าวหาให้มีการดำเนินคดีอาญา แสดงให้เห็นถึงความปฏิปักษ์ต่อกัน และความขัดแย้งส่อจะลุกลามบานปลายจนไม่อาจหาข้อยุติได้ ทั้งที่ทั้งสองฝ่ายต้องร่วมกันรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน และความมั่นคงของราชอาณาจักร ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ โดยต้องประพฤติปฏิบัติตนเหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ของตำรวจ และอยู่บนจริยธรรม และจรรยาบรรณของตำรวจ และเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม หากไม่กระทำการใตๆ อาจเป็นเหตุให้ราชการและประชาชน ประเทศชาติเสียหายได้...”
อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า“สถานการณ์ สร้างวีรบุรุษ” การที่นายเศรษฐา ทวีสิน มีคำสั่งเด้งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองคน ทำให้นายเศรษฐาดูสุกสกาวแวววามเป็นนายกรัฐมนตรีที่สมกับบทบาทและตำแหน่งหน้าที่ขึ้นมาทันที หลังจาก 6 เดือนที่ผ่านมาเป็นได้แต่เพียงพ่อพวงมาลัยร่อนไปร่อนมา และถึงแม้งานนี้จะมีคนเชื่อว่า“ทักษิณคิด เศรษฐาเป็นคนเซ็นคำสั่งย้าย”ก็ตาม
เพราะลำพัง“เศรษฐา ทวีสิน อดีตนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นแค่“นายกฯหุ่นเชิด” ไม่น่าจะคิดได้ถึงขนาดนี้แน่ โดยเฉพาะการตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากไม่ใช่นักโทษเด็ดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นคนคิด เนื่องจากทักษิณเป็นนายตำรวจเก่า และเคยคุมบังเหียนแบบใช้ตำรวจเป็น“รัฐตำรวจ”สมัยครองอำนาจเมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังเคยใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีย้าย พล.ต.อ. สันต์ ศรุตานนท์ ผบ.ตร.ในขณะนั้น ให้ไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรีมาแล้วในปี 2547
สถานการณ์สร้างวีรบุรนุษอีกคนหนึ่ง ก็คือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ที่ได้รับแต่งตั้งให้รักษาการ ผบ.ตร. ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ มีชื่อเล่นว่า“ต่าย” เป็นชาวราชบุรี จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 41 นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 25 จะเกษียณราชการในปี 2549 มีเส้นทางชีวิตในราชการไม่โลดโผนเมื่อเทียบกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล และ พล.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เข้ามารับราชการตำรวจช้าในวัย 33 ปี และไม่ได้จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่พอถึงตา“เข้าฮอส”ก็ปรากฏว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์หลุดเข้าไปได้อย่างมีปาฏิหาริย์ นับเวลาแล้วก็แค่ 25 ปี (ปี 2541-2566) จากที่ได้รับการบรรจุเป็นตำรวจสายตรวจท่องเที่ยวจนถึงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขณะที่“บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล”(เกษียณราชการปี 2574) มาเร็วชนิดที่ข้ามหัวรุ่นพี่ไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น ซึ่งถือว่าไม่เป็นผลดีแก่ตัวบิ๊กโจ๊กเอง ทำให้มีศัตรูทั้งที่ถาวรและไม่ถาวรในสำนักงานตำรวจฯแบบว่า“ปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้าย”อยู่เต็มไปหมด
ไม่ว่าจะ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล หรือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล คนที่เฝ้าติดตามสถานการณ์เชื่อว่า เมื่อถูกย้ายข้ามฟากให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเปรียบเสมือน“สุสานคนเป็น” โอกาสที่จะได้กลับไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกครั้งคงปิดประตูตาย โดยเฉพาะ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ อาจจจะต้องอยู่จนถึงวันเกษียณราชการในวันที่ 30 กันยายนอีกหกเดือนข้างหน้า
ตัวอย่างในอดีตมีให้เห็น ที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 5 คน เมื่อถูกย้ายเข้าสุสานคนเป็นแล้วอยู่ยาวจนเกษียณราชการ นั่นก็คือ พล.ต.อ. สันต์ ศรุตานนท์ ผบ.ตร.คนที่ 3, พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร.คนที่ 4, พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ผบ.ตร.คนที่ 5, พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.คนที่ 6 และพล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.คนที่ 9
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนต่อไปซึ่งเป็นคนที่ 15 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็คือ ”บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์”นั่นเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี