นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ยังปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อไป หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีไว้พิจารณาแล้วก็ตาม
นับว่า ศาลรัฐธรรมนูญยังเมตตาต่อนายกฯ เศรษฐา
สมัยอดีตนายกฯลุงตู่ ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาด
จึงนับเป็นโอกาสที่นายกฯเศรษฐาจะได้เร่งเครื่องทำงาน เพราะโอกาสการทำงาน ไม่ทราบว่าจะมียาวนานแค่ไหน
ถ้าเป็นฟุตบอล นายกฯเศรษฐาควรเร่งเครื่องทำงาน เหมือนเตะอยู่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
1. นายกฯ เศรษฐาให้สัมภาษณ์จากประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า วันจันทร์ที่ 27 พ.ค.นี้ เวลา 16.00 น.จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.ศก.)
โดยเรียกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาพูดคุยกัน เพื่อหามาตรการ หรือไอเดียต่างๆ ที่จะต้องทำ หลังตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรก โตแค่เพียง 1.5% ต่ำที่สุดในอาเซียน
นายกฯ เอ่ยปากว่า จะไม่คอยผลจากโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ที่ตามแผนจะเริ่มไตรมาสสี่ แต่ต้องเริ่มทำงานก่อน เพราะจีดีพีโตแค่ 1.5% ถ้าไม่มีภาคบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เราก็จะตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย อันนี้น่าเป็นห่วง และยังมีอีกหลายเรื่อง ทั้งบัตรเครดิต หนี้เสีย และหนี้ครัวเรือน
เมื่อถามว่าจะมีโครงการระยะสั้นออกมากระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่?
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตรงนี้เป็นที่มาของการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจดังกล่าว ซึ่งต้องมานั่งคุยกัน และตนได้บอกทุกคนไปว่าเวลามาให้มีข้อมูล และมาด้วยใจที่เปิดกว้าง พร้อมกับไอเดีย ไม่ได้ให้มาเพื่อที่จะสั่งว่าต้องทำอะไร การประชุมครั้งนี้คงยังไม่มีโครงการอะไรออกมาเซอร์ไพรส์แน่นอน ต่อไปจะมีการประชุมทุกสัปดาห์ อีกทั้งยังมีการประชุมวงเล็ก ซึ่งตนอยากฟังความคิดเห็นของทุกคน จะมีทั้งภาคการค้าระหว่างประเทศ ภาคการเกษตร ภาคกฎหมาย ภาคนโยบายซึ่งต้องฟังทุกคน และมีข้อสรุปออกมา
2. นี่คือสิ่งที่เคยเรียกร้องและเสนอแนะต่อรัฐบาลมาแล้วหลายครั้ง
คือ อย่าไปรอหวังพึ่งโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ไตรมาสสี่
เพราะโครงการยังลูกผีลูกคน เงินจาก ธ.ก.ส.จะใช้ได้โดยไม่ผิดกฎหมายหรือไม่ ก็ยังไม่มีความชัดเจน
ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า แม้จะไม่ใช่ภาวะวิกฤตความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจภาพรวม แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีอาการออกมาจุด เช่น กำลังซื้อในระดับฐานราก เช่น ตลาดชาวบ้านเงียบเหงา ค่าครองชีพสูงขึ้นหนี้ครัวเรือนสูงต่อเนื่อง ความสามารถในการแข่งขันของหลายภาคธุรกิจลดลง การลงทุนของภาครัฐยังล่าช้า ฯลฯ
เพราะฉะนั้น ขอสนับสนุนให้รัฐบาลเร่งเครื่องอย่างเต็มที่
และขอให้ “ทำด้วยใจเปิดกว้าง” อย่างแท้จริง
บางอย่าง หากทำมาตรการเหมือนสมัยลุงตู่ทำแล้วจะเกิดผลดีรัฐบาลเศรษฐาก็ไม่ควรจะกลัวว่าจะเสียเชิง เสียรังวัด
ยกตัวอย่าง เช่น โครงการคนละครึ่ง เพื่อรักษาระดับกำลังซื้อ จะมีผลดีต่อตลาดฐานราก ตลาดชาวบ้านโดยตรง (การบริโภคภาพรวมยังขยายตัว)
หรือการแจกจ่ายเงินสำหรับกลุ่มเปราะบางเฉพาะกลุ่ม เป็นต้น
สำคัญ คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาอย่างรวดเร็วนั้น จะต้องแม่นยำ ตรงจุดตรงกลุ่มที่มีปัญหา
3. ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สะท้อนชัดเจนถึงภาพรวมเศรษฐกิจ
ระบุว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/2567 ขยายตัวที่ 1.5% YoY
แม้ว่าจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด แต่ก็ถือขยายตัวอยู่ในระดับต่ำ
ปัจจัยกดดันหลัก มาจากการลงทุนภาครัฐที่หดตัวลงอย่างมากเนื่อง จากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้าถึงเดือนเม.ย. 2567 ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคก่อสร้างและภาคอุตสาหกรรม โดยภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังคงชะลอลงต่อเนื่อง
ผลผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาดน้อยกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า จากผลกระทบของสภาพอากาศที่ร้อนจัดและภัยแล้ง
การส่งออกไทยหดตัวจากปีก่อนหน้า เนื่องจากปัจจัยฐานสูง ประกอบกับการสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทยที่ส่งผลให้การส่งออกไทยฟื้นตัวช้า
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2567 มาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีแนวโน้มทยอยขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้น (YoY) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
โดยได้รับแรงหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณจากทางภาครัฐที่มีทิศทางเร่งตัวขึ้นหลังจากงบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเม.ย. 2567 นอกจากนี้ การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยปีนี้ที่ 36 ล้านคน
การส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า แต่เนื่องจากผลจากปัจจัยฐานที่อยู่ในระดับสูงของปีก่อนหน้าคงมีลดลง ส่งผลให้การส่งออกไทยมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ในไตรมาสที่เหลือของปีนี้
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดคาดการณ์การขยายตัวเติบโตจาก 2.8% มาอยู่ที่ 2.6% จากปัจจัยดังต่อไปนี้
1. การลงทุนและการบริโภคภาครัฐมีแนวโน้มหดตัวมากกว่าที่เคยคาดแม้จะมีการเร่งเบิกจ่ายในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่คาดว่าจะไม่เร่งตัวมากพอที่จะชดเชยการหดตัวในช่วงไตรมาส 1/2567 ได้
2. การส่งออกไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่เคยคาด ตามทิศทางการค้าโลกท่ามกลางภาคการผลิตทั่วโลกที่ยังอ่อนแรง ประกอบกับมีความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าและและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ อีกทั้งการส่งออกไทยเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างจากความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลกที่ลดลง ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดคาดการณ์ลงจาก 2.0% เป็น 1.5%
3. ภาคการผลิตยังมีแนวโน้มอ่อนแรงต่อเนื่อง จากอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอลงและอุปสงค์นอกประเทศที่ฟื้นตัวช้า ประกอบกับการเข้ามาตีตลาดของสินค้าราคาถูกจากจีน
4. ผลผลิตทางการเกษตรได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่รุนแรง สภาพอากาศที่ร้อนจัดได้ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรในไตรมาส 1/2567 และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางเกษตรบางส่วนในไตรมาส 2/2567
5. ติดตามผลกระทบหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการ และอาจมีผลต่อไปยังการจ้างงานและการลงทุนในประเทศ
6. มาตรการกระตุ้นทางการคลังในประเทศยังมีความไม่แน่นอน โดยแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ภาครัฐอาจออกมาตรการกระตุ้นในช่วงปลายปีนี้ แต่ผลต่อเศรษฐกิจไทยยังคงมีความไม่แน่นอน
4. การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันทั่วประเทศ
หนึ่งในปัจจัยที่ต้องจับตามอง คือ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันทั่วประเทศ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันทั่วประเทศและมีผลบังคับใช้จริงในเดือนต.ค.2567 คาดว่า จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไปยังการจ้างงาน การลงทุน รวมถึงส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ ผลบวกต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคจากแรงงานที่ได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นอาจมีไม่มากนัก
การปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ใช้แรงงานจำนวนมากให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่จ่ายค่าจ้างขั้นต่ำในสัดส่วนสูง เช่น ภาคเกษตร งานในครัวเรือนส่วนบุคคล และที่พักและบริการด้านอาหาร
ขณะที่ผลบวกต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคจากแรงงานที่ได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้น อาจมีไม่มากนัก ท่ามกลางค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
อีกทั้ง เนื่องจากแรงงานในประเทศที่อิงค่าแรงขั้นต่ำมีสัดส่วนเป็นแรงงานต่างด้าวค่อนข้างมาก ซึ่งแรงงานต่างด้าวเหล่านี้มีแนวโน้มโอนเงินค่าจ้างที่ได้รับกลับไปยังประเทศตนเองราว 30-40% ของรายได้ต่อเดือน ส่งผลให้ภาพรวมแรงงานที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายในการบริโภคในประเทศน้อยกว่าค่าจ้างที่ได้รับเพิ่มขึ้น (Marginal Propensity to Consume : MPC น้อยกว่า 1) ส่งผลให้ผลบวกต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคในปี 2567 คาดว่าจะมีไม่มากนัก
“...โดยสรุป แม้การปรับเพิ่มขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะทำให้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็มีความเสี่ยงจากราคาสินค้าและบริการที่จะเพิ่มขึ้นตามรวมถึงการถูกเลิกจ้างงานในบางกิจการ
โดยก่อนหน้านี้มีสินค้าและบริการบางรายการปรับไปรอค่าจ้างที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น
ซึ่งหากภาครัฐไม่ได้มีมาตรการคู่ขนานในการควบคุมดูแลราคาสินค้าและบริการร่วมด้วย ทำให้ท้ายที่สุดแล้วความสามารถในการใช้จ่ายของแรงงานคงไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก
และอาจต้องเผชิญความเสี่ยงถูกเลิกจ้างจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่อาจมีการหันไปประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น
หรือบางกิจการ โดยเฉพาะ SMEs ที่อาจแบกรับต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นไม่ไหวจนต้องปิดตัวลง” – ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
นี่คืออีกหนึ่งประเด็นปัญหาใหญ่ ที่รัฐบาลและนายกฯเศรษฐาจะต้องเปิดใจพิจารณาอย่างจริงจัง มิใช่มุ่งแต่ผลทางการเมืองเฉพาะหน้า
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี