รัฐบาลเริ่มให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” ตั้งแต่วันนี้ (1 สิงหาคม –15 กันยายน 2567)
ช่วงที่ผ่านมา ประชาชนแห่โหลดแอปฯ ทางรัฐ รอโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จำนวนมาก
ยอดการสมัครเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐ เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม 10 เท่า
1. นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ยืนยันว่า ระบบพร้อมแน่นอน 08.00 น. ของวันที่ 1 ส.ค.
โดยระบบจะต้องมีการใส่เลขบัตรประชาชน มีการตรวจสอบใบหน้าบุคคลก่อนส่งไปทะเบียนราษฎร และจะต้องมีการตอบกลับมาจากทะเบียนราษฎรก่อน ซึ่งต้องใช้เวลา เป็นระบบรอคิว จากนั้น จึงจะเข้ากระบวนการสร้างยูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ด จึงจะถือว่าจบกระบวนการ
หากเกิดความล่าช้า ไม่ใช่เพราะตัวแอปฯ แต่ล่าช้าด้วยการรอคิว เพื่อที่จะตรวจทะเบียนราษฎร ซึ่งทางระบบจะทำหน้าที่รับคนอยู่แล้ว และหากเกินกว่า 5 ล้านคน ก็จะเป็นระบบรอคิว
ทั้งนี้ ยึดถือที่อยู่ตามที่ประชาชนลงทะเบียน โดยนับ ณ วันลงทะเบียนว่า ทะเบียนราษฎรอยู่ที่ไหน ก็จะใช้ตรงนั้น
2. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ยืนยันว่า การเติมเงินหมื่นให้ประชาชน ทันไตรมาสสี่ ปี’67 แน่นอน
“ผมยืนยันว่า ไม่เกินเดือนธันวาคม’67 เงินถึงมือประชาชนแน่นอน” – รมช.คลังยืนยันในสภาเมื่อวานนี้
3. ปัญหาของโครงการ ไม่ใช่แค่ระบบการชำระเงินว่าจะมีปัญหาหรือไม่ เสถียรหรือไม่
แม้แต่ตัวเงินที่จะมาเติมให้ประชาชน ก็ยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด
ที่สภาพิจารณาเมื่อวานนี้ คือ พ.ร.บ.งบรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2567 จำนวน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อเอาไปเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งเงินตามโครงการดิจิทัล วอลเล็ต
ซึ่งแหล่งเงิน นอกจากจะเอามาจากงบ’67 ปกติ + งบ’67 เพิ่มเติม + งบ’68 ปกติ แล้ว
ต้องดูด้วยว่า ในส่วนของงบ’68 ส่วนที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะปรับลดเปลี่ยนแปลงรายการใด จึงจะได้เงินมาอีก 1.32 แสนล้านบาท
จนวันนี้รัฐบาล ยังไม่กล้าบอกว่าจะเอามาจากส่วนไหน ด้วยวิธีไหนอย่างไร
4. สำหรับปัญหาเกี่ยวกับโครงการดิจิทัล วอลเล็ต คนที่เคยอภิปรายไว้ครบถ้วนที่สุด คือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส. บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อครั้งร่วมอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
ประเด็นสำคัญที่ระบุไว้ ควรนำมาพิจารณาประกอบเพื่อตรวจสอบติดตามโครงการนี้ เช่น
4.1 นายจุรินทร์ ระบุว่า มีคนในรัฐบาลอ้างว่าเราทำเหมือนประเทศสิงคโปร์ ที่นายกฯคนใหม่ของสิงคโปร์เป็นคนประกาศแจกเอง
แต่ตนขอทำความเข้าใจใหม่ว่า การที่สิงคโปร์ที่แจกนั้น เขาแจกจริง เพราะเขามีเงินเหลือพอที่จะให้แจก
แต่ประเทศไทยเป็นการกู้มาแจก จึงเป็นคนละเวอร์ชั่นกัน
4.2 นายจุรินทร์ยืนยันว่า ไม่เคยต่อต้านโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ของรัฐบาล
และในทางตรงกันข้าม ตนได้ทวงถามแทนประชาชนทุกครั้งว่า เงิน 10,000 บาทที่รัฐบาลประกาศที่จะแจกตั้งแต่ตอนหาเสียงจะได้เมื่อไหร่ และจะได้กี่โมง
จนถึงวันนี้ ยังคงทำหน้าที่ทวงถามอีกรอบ เพราะถือหลักว่าเมื่อพรรคการเมืองไปหาเสียง ได้เป็นรัฐบาลแล้ว ต้องมีความรับผิดชอบ เพราะไปสัญญาแลกเอาคะแนนมาแล้ว ต้องชดใช้กับประชาชน โดยจะต้องทำให้ทันเวลา ถูกกฎหมาย โปร่งใส และคุ้มค่ากับประเทศ
4.3 เรื่องความล่าช้าของโครงการ
การที่โครงการล่าช้านั้นไม่ใช่เพราะแรงค้านของฝ่ายใด แต่ล่าช้าเพราะความ “โหลยโท่ย”ของรัฐบาลเอง ที่บริหารราชการแผ่นดิน
เหมือน “เด็กเล่นขายของ” “เป็นไม้หลัก ปักขี้เลน” โอนไปเอนมาเอาแน่อะไรไม่ได้
- เรื่องเวลา เลื่อนมาหลายรอบ จนวันนี้ประชาชนลงเรือเก้อมาแล้วกี่ลำ
- แหล่งเงิน กลับไปกลับมา ขนาดนายกฯ ออกมาโชว์พาวนำทีมแถลงเองว่า บอกว่าต่อไปนี้ชัดเจน แล้วก็ต่อมาก็ยกเลิกสิ่งที่ตัวเองแถลง นายกรัฐมนตรีท่านนี้เชื่อถือได้กี่เปอร์เซ็นต์
- ตอนหาเสียง คงจำได้ “แจกทันทีไม่มีกู้” พอเป็นรัฐบาลไม่กี่วัน ออกลาย “เลื่อนทันที มีแต่กู้” ถึงขั้นออกพระราชบัญญัติเงินกู้ 5 แสนล้าน แต่สุดท้ายยกธงขาว เพราะจำนนด้วยข้อกฎหมายว่าทำไม่ได้ เพราะที่รัฐบาลพยายามสร้างประเด็นว่าเศรษฐกิจกำลังวิกฤต เอาเข้าจริง ประเทศไม่ได้วิกฤตถึงขั้นต้องกู้มาแจก
- เปลี่ยนมาเป็นใช้เงิน ธ.ก.ส. แทน ท่ามกลางเสียงเตือนว่าสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย เพราะเงินธ.ก.ส. มีไว้ดูแลเกษตรกรเท่านั้น แต่จะเอามาแจกแบบเหวี่ยงแห “แบบเฮลิคอปเตอร์มันนี่” ที่ตนอภิปรายไปเหมือนคราวที่แล้วนั้นทำไม่ได้ มันสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย แต่รัฐบาลก็เสียงแข็ง ยืนยันว่าทำได้ เสียเวลาไปสามเดือน เพราะความดื้อรั้นดันทุรังของรัฐบาล จนสุดท้ายโยนผ้าอีกรอบ แสดงว่ายืนยันมาตลอดแค่ “ปากกล้า ขาสั่น” สร้างความหวังให้ประชาชนไปวัน ๆ เท่านั้นเอง
- เมื่อวานซืน มาใหม่อีกแล้ว ขอเปลี่ยนเป็นแหล่งเงินที่จะมาแจก มาจากสองแหล่ง 1. จากงบประมาณปี’67 จำนวน 165,000 ล้านบาท 2. งบปี’68 จำนวน 285,000 ล้านบาท รวมเป็น 450,000 ล้านบาท โดยงบปี’67 แยกเป็น 2 ก้อน งบปี’68 ก็แยกเป็น 2 ก้อน รวมเป็น 4 ก้อน
ความจริงก็คือ จนวันนี้เม็ดเงินจริงยังไม่มีสักบาทเดียว ยังล่องลอยอยู่ในอากาศ เพราะว่ายังจะต้องรอขั้นตอนกระบวนการทั้ง 450,000 ล้านบาท หลายประเด็นจึงยังไม่นิ่ง และนิ่งไม่ได้ เพราะรัฐบาลบริหารแบบ “คิดไปทำไป” และที่ร้ายที่สุด ถ้าใครติดตามอย่างละเอียดจะพบว่าเป็นแบบ “สวนมาสวนกันไป” อีกด้วย
4.4 นายจุรินทร์ ระบุอีกว่า ประเด็นเรื่องสินค้า อะไรซื้อได้ อะไรซื้อไม่ได้ ก็ยังไม่จบ เพราะคณะกรรมการชุดใหญ่มอบกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาอีก
ตนถึงบอกว่า “มันคิดไปทำไป แล้วแถมยัง สวนกันมา สวนกันไป”
4.5 ยอดเงิน ลดมาสามรอบแล้ว
จากเริ่มต้นยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ 560,000 ล้านบาท แล้วก็ลดลงมาเหลือ 5 แสนล้าน
แล้วก็ลดอีก เหลือ 450,000
“จากเรือยอชต์ก็เลยกลายเป็นเรือแจวไปแล้ววันนี้”
แต่ยังคงเป้าหมาย 50 ล้านคนไว้ ไม่ลด
โดยอ้างว่าที่ไม่ลด 50 ล้านคน แต่ไม่เตรียมไว้ 5 แสนล้าน เตรียมไว้แค่ 450,000 ล้านบาทเพราะหวังว่า 5 ล้านคน หรือ 10% จะไม่มาใช้สิทธิ์
“แต่มันมีคำถามว่า ถ้า 5 ล้านคน เกิดมาใช้สิทธิ์ล่ะ ท่านจะเอาเงินไหนอีก 5 หมื่นล้าน เอาไปแจก ผมถึงบอกว่า นี่มัน นั่งเรือแจวไปตายเอาดาบหน้าชัดๆ เลย” – นายจุรินทร์ถามไว้ ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
4.6 รายจ่ายลงทุนที่ใส่ไว้ในพระราชบัญญัติฉบับนี้ เรื่องนี้มีการวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ทุกวงการของคนมีความรู้
เพราะงบปี’67 เพิ่มเติมฉบับนี้ ระบุไว้ 122,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลตีความว่าจะแบ่งเป็นสองก้อน 20% เป็นรายจ่ายประจำ 80% เป็นรายจ่ายลงทุน
มีคำถามว่า ทำไมรัฐบาลไปตีความว่าเป็นรายจ่ายลงทุนถึง 80% ซึ่งไม่น่าจะจริง เพราะดิจิทัล วอลเล็ต ไม่ใช่เงินลงทุน แต่เป็นเงินโอนเพื่อบริโภค
นิยามคำว่า “รายจ่ายลงทุน” ของสำนักงบฯ ก็ระบุชัดว่า หมายถึงรายจ่ายที่รัฐบาลจ่ายเพื่อ 1. จัดหาสินทรัพย์ประเภททุน ทั้งที่มีตัวตน และไม่มีตัวตน ที่มีตัวตน เช่น ครุภัณฑ์ ที่ดิน อาคาร สิ่งก่อสร้าง เป็นต้น ที่ไม่มีตัวตน เช่น สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และการสัมปทานที่เกี่ยวกับที่ดิน เป็นต้น ตลอดจนรายจ่ายลงทุน คือรัฐบาลที่อุดหนุน หรือโอนให้แก่บุคคล องค์กร รัฐวิสาหกิจ โดยผู้รับไม่ต้องจ่ายคืน หรือรัฐบาลให้เปล่านั่นเอง และผู้รับต้องนำไปใช้จัดหาสินทรัพย์ประเภททุน “ไม่ใช่เอาไปบริโภค”
นอกจากนี้ ยังหมายถึงรายจ่ายเพื่อการเพิ่มทุนทรัพย์ทางการเงิน โดยผู้รับตั้งใจ นำไปลงทุน “ไม่ใช่ไปบริโภค”
เพราะฉะนั้น การไปวินิจฉัยเอาเองว่าเงิน 122,000 ล้านบาท ที่มาขออนุมัติสภาวันนี้เท่ากับเงินลงทุนถึง 80% “นี่เป็นการคาบลูก คาบดอกไปหน่อยมั้ย”
และสุดท้ายอาจจะนำไปสู่ความเสี่ยง พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังมาตรา 20 (1) ต่อไป
มันหนีความจริงไม่พ้น ว่าที่แจกไปนี้ แจกให้ไปบริโภค ไม่อย่างนั้นจะมีการไปกำหนดสินค้าทำไม ว่าอะไรซื้อได้ อะไรซื้อไม่ได้ แล้วอย่างนี้ไม่เรียกว่าบริโภค จะเรียกว่าอะไร แต่หวังการลงทุนทอดสอง ทอดสามว่า พอซื้อมากๆ โรงงานจะได้ผลิตสินค้ามากขึ้น ไปลงทุนมากขึ้น แต่มันแจกแค่ 6 เดือน แป๊บเดียวมันก็หายไปแล้ว จะมาคิดเป็นลงทุนตั้ง 80% ได้อย่างไร
4.7 ประเด็นความคุ้มค่า
นายจุรินทร์ ระบุว่า รัฐบาลตีปี๊บมาตลอดว่าทำ ดิจิทัล วอลเล็ต แล้วจะทำให้เศรษฐกิจโต5% นายกฯ พูดเอง พูดหลายรอบด้วย และจะทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพราะจะเอาเงิน 500,000 ล้าน หรือ 450,000 ล้าน ไปใส่มือคนไทย หลังจากนั้น ก็หมุนไปหาร้านค้าจากร้านค้าก็จะหมุนไปหาโรงงาน แล้วก็เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใน 6 เดือนที่แจก และจะทำให้จีดีพี เฉพาะดิจิทัล วอลเล็ต โต 1.2% - 1.8% ตัวเลขกลางก็คือ 1.5% เพิ่มขึ้น
“พูดอย่างกับ ตลกคาเฟ่ ดูถูกคนคิดเลขเป็นทั้งประเทศเลย ที่บอกว่าจะโตเท่านี้” เพราะอะไร
เพราะนักวิชาการ สถาบันการเงิน นักเศรษฐศาสตร์ แบงก์ชาติ องค์กรอิสระ สภาพัฒน์ หน่วยงานของรัฐเอง ที่เป็นหน่วยงานกลางในการกำหนดตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างพูดตรงกันว่า ที่บอกว่าจะได้ ได้จริง แต่มันได้ไม่คุ้มเสีย
เพราะ ลงทุนกู้มา 5 แสนล้าน ถ้าคนมาใช้สิทธิ์ 100% ลงทุนกู้มา 5 แสนล้าน ก็คิดเป็น 3% ของจีดีพี
เท่ากับลงทุนกู้มา 3% ของจีดีพี
แต่ผลที่ได้ ทุกหน่วยพูดตรงกัน จากการที่ กมธ. เศรษฐกิจ เชิญสภาพัฒน์มาชี้แจง เขาบอกว่าจะทำให้เศรษฐกิจ ปี’67 โต ได้แค่ 0.2% ปี’68 อีก 0.3% รวมแล้วก็คือ 0.5% หรือประมาณ 100,000 ล้าน
ก็แปลว่า ลงทุนไป 500,000 ล้าน ได้มา 100,000 ล้าน
ถ้าแถมให้ตามที่รัฐบาลประเมินว่าจะโต 1.5% ก็น่าจะได้ประมาณ 250,000 ล้าน
ลงทุนไป 500,000 มันก็ยังได้ไม่คุ้มเสียอยู่ดี
นอกจากนี้ มันยังมีค่าเสียโอกาส ถ้ารัฐบาลเอาเม็ดเงิน 500,000 ล้านบาทนี้ ไปทำอย่างอื่นจะได้มากกว่านี้
เช่น เอาไปแจกกลุ่มเปราะบาง ไปแจกคนจน ซึ่งจะทำให้เขาใช้เงินทันที เศรษฐกิจหมุนเวียนทันที ไม่ไปเก็บไปยักไว้ และเอาเงินอีกก้อนที่เหลือ ไปใช้ลงทุนด้านอื่นเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนจะได้ประโยชน์มากกว่า เช่น เอาไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สร้างคนในระบบเศรษฐกิจ สร้างในระบบการศึกษา ทั้งในระบบและนอกระบบ รองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ธุรกิจใหม่ และธุรกิจสมัยใหม่ ลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจการค้ายุคใหม่ เพราะต่อไป อียู จะไม่ค้าขายกับประเทศที่ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สหรัฐฯ ก็จะไม่ค้าขายด้วย ลูกค้ารายใหญ่ของเราจะไม่ค้าขายด้วย ทำไมไม่ลงทุนเตรียมไว้กับเรื่องเหล่านี้โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ที่เรากำลังเดินเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล อีโคโนมี่
เหล่านี้มีความคุ้มค่ากว่าหรือไม่ แทนการกู้มาแจกเพื่อไปกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
เพราะฉะนั้น “การกู้มาแจกแค่ 6 เดือน จึงเหมือนเป็นการโยนหินลงน้ำหนึ่งก้อน เกิดแรงกระเพื่อมจ๋อมเดียวแล้วก็หายไป แต่ที่จะเกิดตามมาก็คือพายุหมุน แต่เป็นพายุหมุนที่หมุนเอาหนี้ก้อนโตมาให้คนไทยต้องชดใช้ไปอีกนานเท่านาน”
เข้าทำนอง “ประเทศเสียหายไม่ว่า ขอให้ข้าได้หาเสียง”
สรุป ติดตามกันต่อไปว่า ประชาชนจะโหลดแอปฯ รอเงินหมื่น รอเก้อหรือไม่? คุ้มค่าหรือไม่?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี