ปัจจุบัน ช้างที่ไม่ได้อยู่ในป่าตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะอยู่ที่ปางไหน ล้วนดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะการเลี้ยงดูของคน
เพราะฉะนั้น ช้างกับคนต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัย ทั้งสองฝ่าย
แต่ความจริงที่เกิดขึ้นในวงการช้าง คือ มีนักธุรกิจในคราบเอ็นจีโอด้านช้าง ทำธุรกิจท่องเที่ยวด้วย เปิดรับเงินอุดหนุนจากคนไทยและต่างชาติ ด้วยการเอาช้างที่เจ็บป่วย พิการ บาดเจ็บนำไปสร้างสตอรี่ ปั่นความน่าเวทนาสงสาร ดึงดูดเงินอุดหนุนบริจาคเข้ากระเป๋า โดยเฉพาะจากต่างประเทศ (ที่ไม่มีวัฒนธรรมการเลี้ยงช้าง คนอยู่กับช้าง แต่มีความสงสารช้าง)
พยายามสร้างจุดขายการท่องเที่ยวให้กับตัวเองว่า เลี้ยงช้างแบบธรรมชาติ ไม่มีโซ่ ไม่มีตะขอ (แต่แท้จริงก็แบบใช้โซ่)
โดยมีเครือข่ายมูลนิธิ ทั้งในไทยและต่างชาติ ช่วยกันสร้างประเด็น ปั้นแต่งเรื่อง โจมตีพิธีกรรมและการเลี้ยงช้างแบบวิถีไทยของปางอื่นๆ ราวกับว่าเป็นวิธีการป่าเถื่อน สร้างตราประทับแบบผิดๆ นำมาสู่การแบนการท่องเที่ยวปางอื่นๆ ทั้งๆ ที่ ปัจจุบัน ไทยมีมาตรฐานวิชาชีพควาญช้าง ทุกปางช้างจะต้องได้มาตรฐานการดูแลช้าง ไม่มีการทารุณกรรม ฯลฯ
แต่คนกลุ่มนี้ ที่สร้างภาพนักบุญ-นางฟ้าต่อสายตาชาวโลก ก็พยายามแสวงหาผลประโยชน์เช่นนี้เรื่อยมา
1. กระทั่งเกิดเหตุน้ำท่วม ความจริงจึงปรากฏเป็นที่ประจักษ์
การเลี้ยงช้างที่ไม่สามารถควบคุมช้างได้ สร้างปัญหาในการเคลื่อนย้ายช้างขนาดไหน
ถึงขนาดปางที่มีปัญหา ตัดสินใจปล่อยช้างนับสิบเชือกไว้ในคอก ให้ระดับน้ำกำหนดชะตากรรมชีวิตของช้างเอาเอง
หลังจากนั้น แทนที่จะแก้ไข กลับแก้ตัวแบบหยาบกระด้างว่า ถ้าใช้โซ่ ช้างจะตายมากกว่านี้ !!!
แถมยังปล่อยให้ลูกสมุน บริวาร เครือข่าย ปล่อยข่าวปลอม โจมตีควาญช้างที่เข้าไปช่วยเหลือยามวิกฤต !!!
น่าแปลกใจ การกระทำเช่นนี้ คนรักช้างบางส่วนยังยอมรับได้เพราะติดกับภาพป้านางฟ้านั่นเอง
2. ปัจจุบัน ก็ยังมีการโจมตีทำลายภาพลักษณ์ ปั้นแต่งเรื่องเพื่อทำลายวิถีช้างในประเทศไทย เพื่อดึงดูดเงินการท่องเที่ยวและเงินบริจาคเข้ากลุ่มของตนเอง
การจัดฉาก พิธีผ่าจ้าน ถูกนำกลับมาโจมตีทำลายคนเลี้ยงช้างอื่นๆ ในประเทศไทยอย่างเป็นธรรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก
คนบางกลุ่ม มีส่วนสนับสนุน เพราะมั่นใจว่าตนเองถูกแบ่งแยกเป็นคนละตลาดกับปางช้างทั่วไปในสายตาต่างชาติแล้ว
และผู้หญิงคนนี้ ก็มีส่วนกับการจัดฉาก ถ่ายทำ เพื่อบ่อนทำลายวงการช้างมาในอดีตนั่นเอง
ตำรวจเคยสอบปากคำผู้อยู่ในเหตุการณ์แล้ว ระบุชัดเจนว่า เป็นภาพที่แสดงเกินความจริงและมิใช่เป็นพิธีกรรมที่ถูกต้อง ซึ่งเชื่อว่า มีผลประโยชน์แอบแฝงอันไม่อาจดาดเดาได้เช่น อาจต้องการทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวของประเทศไทยหรือเพื่อดึงเงินเข้ามูลนิธิ
3. นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj เปิดเผยเบื้องลึกเบื้องหลังขบวนการพยายามทวงคืนช้าง
ทำให้เห็นอีกด้านหนึ่งของคนบางกลุ่มในแวดวงช้างไทย
ระบุว่า
“มีเพื่อนบางคนถามเรื่ิองพลายศักดิ์สุรินทร์ ที่คุณหนูนาได้นำกลับมารักษาที่เมืองไทย ว่าแตกต่างจาก กลุ่มขบวนการทวงช้างคืนจากศรีลังกาอย่างไร?
ผมขออธิบายสรุปคร่าวๆ ดังนี้
1.ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ช้างที่ไทยเราเคยมอบให้ศรีลังกา เป็นไปตามความตกลงระหว่างประเทศ เป็นการมอบให้แบบ G2G
ช้างที่มอบให้ศรีลังกาไปแล้ว ศรีลังกามีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์
2.กรณีพลายศักดิ์สุรินทร์ เนื่องจากควาญที่ดูแลพลายศักดิ์สุรินทร์มาตั้งแต่แรกเสียชีวิตและพลายศักดิ์สุรินทร์ป่วยไม่สบาย
ทางไทย (โดยคุณหนูนาและคุณท็อป) ก็ได้ขออนุญาตต่อทางการศรีลังกา ขอรับพลายศักดิ์สุรินทร์มาทำการรักษาพยาบาลที่ไทย
3. สถานที่รักษาพยาบาลก็คือ สถาบันคชบาล ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ
ซึ่งก็เป็นไปตามความตกลงระหว่างประเทศ ที่หากมีการรับส่งช้างก็ต้องดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐเป็นผู้รับ (แบบ G2G) ไม่ใช่ส่งคืนให้ “มูลนิธิ” ของเอกชน !
4.การดำเนินการขอรับพลายศักดิ์สุรินทร์มารักษาที่ไทย ไม่ใช่การทวงคืนช้างจากศรีลังกา
ซึ่งกรณีนี้ทางการศรีลังกาก็ยังแสดงสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของโดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อรักษาเสร็จแล้ว ขอรับพลายศักดิ์สุรินทร์กลับคืนศรีลังกาต่อไป
5.ในหลวง ร.10 เมื่อทรงทราบเรื่องก็ได้พระราชทานความช่วยเหลือรับพลายศักดิ์สุรินทร์ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์
และตรงนี้เองที่เราได้ใช้อ้างกับทางศรีลังกาในการรักษาพยาบาลพลายศักดิ์สุรินทร์ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีกำหนด
6.ส่วนกรณีที่เกิดกลุ่มขบวนการทวงช้างคืนจากศรีลังกานั้น เมื่อเห็นการนำพลายศักดื์สุรินทร์กลับมาไทยได้ ก็เลยต้องการเลียนแบบ
เปิดประเด็นว่าพลายประตูผา กับ พลายศรีณรงค์ ได้รับการปฏิบัติไม่ดี มีการทรมานใช้ออกงาน เลยไปทำแคมเปญทวงคืนช้างไทย โดยมีมูลนิธิหนึ่งเป็นตัวตั้งตัวตี
มีนักการเมืองพรรคนึงสนับสนุน
นัยว่าจะทวงคืนช้างมาไว้ที่มูลนิธิ
7.มีการปั่นข้อมูลบิดเบือน จับแพะชนแกะ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการทวงคืนช้าง โดยไม่สนใจว่าจะกระทบต่อมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
จนเกิดกรณีลุกลามมีชาวศรีลังกาบางส่วนไม่พอใจต่อกลุ่มขบวนการทวงช้างคืน จนกลายเป็นวิวาทะระหว่างประเทศ ชาวศรีลังกาบางส่วนออกมาแอนตี้ต่อต้าน
8.ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย เช่น สถานทูตไทยที่ศรีลังกาก็ได้พยายามอธิบายเหตุผลและขั้นตอนต่างๆ ต่อกลุ่มขบวนการทวงคืนช้างตามนัยของข้อ 1-4 ข้างต้นแล้ว
แต่ทางกลุ่มก็ไม่ยอมรับฟัง และไม่หยุดดำเนินการ
9.ทางสถานทูตไทยได้ร่วมกับสัตวแพทย์ทั้งไทยและศรีลังกาไปตรวจสุขภาพพลายประตูผา และพลายศรีณรงค์
ก็พบว่า ตัวหนึ่งสุขภาพเกินกว่ามาตรฐาน และอีกตัวหนึ่งมีปัญหาสุขภาพบ้างตามอายุขัย แต่อยู่ในการควบคุมดูแลได้
และพลายทั้งสองเชือกยังมีควาญที่เลี้ยงมาแต่แรกดูแลอยู่
10. สรุปอีกที กรณีพลายศักดิ์สุรินทร์ ไม่ใช่การทวงช้างคืน
แต่เป็นการขอรับพลายศักดิ์สุรินทร์มารักษาที่ไทย ซึ่งได้รับการอนุมัติจากทางการศรีลังกาให้ดำเนินการได้
ส่วนกรณีของกลุ่มขบวนการทวงช้างคืนนั้น เป็นการอ้างว่าขอเอาช้างที่มอบให้ศรีลังกาไปแล้วกลับคืนเพื่อเอามาไว้ที่มูลนิธิของเอกชน แต่ทางการศรีลังกาไม่อนุมัติ”
อ่านแล้ว ก็ได้แต่สาธุในใจ
ลองนึกดู... ถ้าช้างถูกนำมาไว้ที่ปางมูลนิธิดังกล่าว สภาพจะเป็นอย่างไรกับเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา ?
4. สุดท้าย ในส่วนของสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ (ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย)เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
สังกัดองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ภายใต้กำกับดูแลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
มีภารกิจหลักในการอนุรักษ์และบริบาลช้างไทย
มีช้างในความดูแลจำนวนกว่า 100 เชือก
แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก เป็นช้างแรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 60 ปี เป็นช้างที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และสามารถปฏิบัติงานได้อย่างดี จะทำงานด้านการท่องเที่ยวและอยู่ในพื้นที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง
กลุ่มสอง เป็นช้างชรา ช้างเจ็บป่วย ช้างดุร้าย ช้างพิการ ช้างบริจาค รวมถึงช้างของกลางที่ถูกจับกุมหรืออยู่ระหว่างการดำเนินคดี จะได้รับการเลี้ยงดูและพักผ่อนอยู่ในบริเวณพื้นที่ของศูนย์บริบาลช้างบ้านปางหละ อ.งาว จ.ลำปาง หรือเดิมคือศูนย์ฝึกลูกช้างแห่งแรกของโลกนั่นเอง
ปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังสุดท้ายของช้างอีกด้วย
ช้างเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งถือว่าเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกบริโภคอาหารประเภท หญ้า ผักและผลไม้ เป็นจำนวนมาก เฉลี่ยวันละประมาณร้อยละ 6 – 12 ของน้ำหนักตัว
และเมื่อช้างเจ็บป่วย ในการรักษาพยาบาลช้างก็จะใช้ปริมาณยามากกว่าการรักษาพยาบาลสัตว์อื่นหลายสิบเท่า ส่งผลให้ใช้งบประมาณในการรักษาเป็นจำนวนมาก
ถึงแม้ว่าสถาบันฯ ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพื่อนำรายได้มาใช้ในการบริหารและดำเนินการต่างๆ รวมทั้งได้รับงบประมาณส่วนหนึ่งจากภาครัฐเพื่อใช้ในการดูแลช้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะดูแลช้างทั้งหมดได้ จึงได้จัดตั้ง #โครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ช้าง ขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการช่วยเหลือช้างหรืออุปถัมภ์ช้างที่อยู่ในความดูแลของสถาบันฯ โดยช้างหนึ่งเชือกสามารถมีผู้อุปถัมภ์ได้หลายท่าน
ขอเชิญชวนคนรักช้าง เลือกที่จะสนับสนุนช่วยเหลือช้าง ตามช่องทางนี้กันให้มากๆ
มั่นใจได้เลยว่า ไม่มีผลประโยชน์เอกชนแอบแฝง หรือบ่อนทำลายวิถีช้างและคนในสังคมไทย
สามารถสอบถามทาง โทร. 054-829337 สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี