วันอังคาร ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ปัญหาเกาะกูดนั้น ฝ่ายรัฐบาลและนักการเมืองของพรรคเพื่อไทยพูดเหมือน “ไปไหนมาสามวาสองศอก” ถามเรื่องหนึ่งตอบอีกเรื่องหนึ่ง..และพยายามจะยืน“กระต่ายขาเดียว” ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ไม่ได้เสียให้กัมพูชา
คิดอีกทีก็เหมือนกับพวกนักการเมืองพรรคเพื่อไทยตั้งแต่หัวยันหาง..ต้องการจะพูดกรอกหูทำสงครามโฆษณาชวนเชื่อ..เพื่อให้ประชาชนคนไทยที่ไม่ได้ติดตามข่าวสาร..หลงเชื่อคล้อยตามว่า..ฝ่ายที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย เป็นพวกขวางโลก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย..ทั้งที่รัฐบาลย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า..เกาะกูดเป็นของไทย และ“MOU 44”เป็นเพียงแค่เครื่องมือสำหรับใช้เป็นกรอบในการเจรจาเพื่อหาข้อยุติในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนระหว่าง“ไทย-กัมพูชา” เท่านั้น
ขณะที่คนสำคัญซึ่งเป็นผู้ทำให้“MOU 44”ฉบับนี้เกิดขึ้นมาได้ คืออดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนว่า “บางคนไม่ทราบว่า MOU 44 คืออะไร..แต่ขอตีไว้ก่อน” พร้อมกันนี้ทักษิณก็ยังชี้แจงแบบตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จว่า..“MOU 44 เป็นเพียงบันทึกข้อตกลง..ที่จะคุยกันในเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายไม่ตกลงกัน..ว่าจะปรับตัวเข้าหากันได้อย่างไร เป็นแนวที่จะคุยกัน..เพราะฉะ นั้นไม่ต้องตกใจ ไม่มีอะไรเลย”
ส่วนประเด็นที่ประชาชนคนไทยไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง“ทักษิณ ชินวัตร”กับ“ฮุน เซน”ที่มีความสนิทชิดเชื้อกันนั้น..อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ตอนที่ผมเป็นนายกฯ สมัยที่มีปัญหาเรื่องการบุกเผาสถานทูตไทยประจำกัมพูชา ตอนนั้นเป็นเพื่อนสนิทกันเลย แต่ถือว่าผลประโยชน์ประเทศมาก่อน โดยมีการคุยกันว่า ถ้าเอาไม่อยู่จะส่งเครื่องบินไปรับ ผมก็ส่งไปรับ ไม่เห็นมีอะไรเลย ผลประโยชน์ประเทศมาก่อน ความเป็นเพื่อนก็คือเพื่อน แต่ผลประโยชน์ของประเทศคือคนละเรื่องกัน”
แกนนำคนสำคัญของรัฐบาลและของพรรคเพื่อไทยอีกคนหนึ่ง คือ“ภูมิธรรม เวชยชัย”ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนเมื่อวานนี้ที่ทำเนียบรัฐบาลแบบมีอารมณ์เหวี่ยง..โดยเปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่ที่เกาะกูด จังหวัดตราดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน เพื่อตรวจเยี่ยมกำลังพลของกองทัพเรือ และพูดคุยสอบถามเรื่องราวต่างๆ จากหน่วยงานและข้าราชการที่อยู่ในพื้นที่ที่ดูแลทางทะเลและทางบก.. ซึ่งสบายใจได้ว่า มีความ“แข็งแรง-เข้มแข็ง” และทุกฝ่ายยืนยันว่า จะปกป้องดินแดนเกาะกูด..โดยไม่ยอมให้เสียผืนแผ่นดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
ผู้สื่อข่าวถามว่า“เรื่องนี้จะจบอย่างไร เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับนักท่องเที่ยว เพราะอีกฝ่ายยังออกมากระทุ้งในเรื่องนี้อยู่”..ซึ่งคำถามนี้ทำให้เข้าทาง“สหายใหญ่-ภูมิธรรม เวชยชัย”ที่มักจะย้ำแต่เรื่องเกาะกูดเป็นของไทยอยู่ตลอดเวลาว่า..“ฝ่ายที่ออกมากระทุ้งก็กระทุ้งไป เพราะเขายังไม่เข้าใจสิ่งที่เป็นจริง..เราพยายามที่จะชี้แจง..ซึ่งประเด็นนี้ยังไม่มีปัญหาอะไรเลย เพียงแต่เราจำเป็นต้องมีคณะกรรมการตามกรอบที่กำหนด”
ว่าแล้ว“ภูมิธรรม เวชยชัย”ก็ใช้วรรคทองที่เป็นคาถาประจำตัวปรามฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลว่า..“อย่าใช้จินตนาการมาพูดจนกลายเป็นปัญหาไป..มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และไม่เป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นที่ต่างประเทศมีต่อเรา”
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เป็นประเด็นข้อถกเถียงกันในเวลานี้ คือ ผลประโยชน์เฉพาะหน้าเรื่อง“ปิโตรเลียม”ที่เป็นขุมทรัพย์ใต้ทะเล..ซึ่งประเทศไทยจะต้องสูญเสียให้แก่เขมรแบบ“50/50”ดังที่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เคยพูดเปิดทางเอาไว้..ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเกาะกูดที่จะเสียให้แก่กัมพูชา
ทั้งนี้ เกี่ยวกับข้อถกเถียงดังกล่าว..อดีต สว.คำนูณ สิทธิสมาน ในฐานะผู้รู้ที่จับประเด็นนี้มาโดยตลอด..ได้โพสต์ข้อคิดเห็นลงในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนเมื่อวานนี้ว่า ถ้าหากไม่มีการยกเลิก“MOU 44”และใช้เป็นกรอบในการพิจารณาข้อตกลง..จะทำให้ประเทศไทย“ได้สอง-เสียสาม”
ได้ที่หนึ่ง..ที่อดีต สว.คำนูณ สิทธิสมาน มองนั้น คือ “ได้ผลประโยชน์จากส่วนแบ่งปิโตรเลียม”..และได้ที่สอง คือ “ได้ความสบายใจเต็มร้อย
สำหรับที่จะต้อง“เสียสาม”ให้แก่กัมพูชาในความเห็นของอดีต สว.คำนูณ สิทธิสมาน นั้น..ประการแรก-เสียผลประโยชน์จากส่วนแบ่งปิโตรเลียม, ประการที่สอง-เสียเขตแดนทางทะเลทันที และประการที่สาม-(อาจ)เสียเขตแดนทางทะเลในอนาคต
ประเด็นที่ไทยจะเสียในประการที่สามดังกล่าว, อดีต สว.คำนูณ สิทธิสมาน ให้รายละเอียดว่า “MOU 2544 เป็นกรอบสำหรับตกลงแบ่งทรัพยากรปิโตรเลียมในเขตใต้พื้นทะเลไหล่ทวีปที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันเท่านั้น..แต่ในความเป็นจริงในอ่าวไทยยังมีทรัพยากรอื่นๆ อีกมากในน้ำทะเล อาทิ ปลา สัตว์น้ำต่างๆ..รวมทั้งสิทธิในการเดินเรือ การที่พื้นที่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ 16,000 ตารางกิโลเมตรยังไม่ได้แบ่งเขตแดนทางทะเลกันชัดเจน..อาจก่อให้เกิดปัญหาหรือข้อพิพาทในอนาคตได้”
แต่บรรทัดนี้ผมพูดเอง ถ้าหากมีการประกาศยกเลิก“MOU 44”ฉบับนี้ ประเทศไทยก็จะไม่เสียอะไรเลย เกาะกูดก็ยังเป็นของเรา, พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนของไทยและกัมพูชาก็ยังคงเป็นพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน ไม่มีใครเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ และสำคัญที่สุดทรัพยากรปิโตรเลียมก็ยังคงอยู่ตามเดิม ไม่ได้เน่าเสียอะไร..รวมทั้งข้อพิพาทเกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนทางทะเลในอนาคตก็จะยังไม่เกิดขึ้น..เพราะทุกอย่างหยุดอยู่กับที่หมด
สำคัญเหนืออื่นใด..ฝ่ายที่จะเสียประโยชน์เฉพาะหน้าอันใกล้นี้..ก็คือ คนไทยกับคนเขมรที่หวังจะร่ำรวยมหาศาลจาก“ปิโตรเลียม”ที่มีมูลค่ามากว่า“20 ล้านล้านบาท”นั่นเอง-ไม่ใช่ใครที่ไหน
และนอกจากเรื่องเกาะกูดที่เป็นประเด็นร้อนแล้ว..ในที่สุดคณะกรรมการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติที่มี“นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์” อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ก็มีมติจากการประชุมเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนวานนี้แบบ“หมูไม่กลัวน้ำร้อน”..โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านจากทุกฝ่าย..เลือก“Mr.White lies-กิตติรัตน์ ณ ระนอง”วัย 66 ปี ที่มีสายโยงใยกับพรรคเพื่อไทย และเคยเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ตามที่พรรคเพื่อไทยโดยกระทรวงการคลังเสนอ
ประเด็นนี้หลายฝ่ายที่คัดค้านเห็นว่า..กรณีของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง จะเป็นระเบิดเวลาทำลายล้างรัฐบาล“มาดามแพ”อีกลูกหนึ่ง..เช่นเดียวกันกับปัญหาเกาะกูด ที่รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยเป็นคนตั้งไว้เอง
กล่าวกันอย่างถึงที่สุด ก็คือ ปัญหาทุกปัญหาที่เป็นระเบิดเวลาในการทำลายล้างรัฐบาลนั้น..ล้วนมีชนวนเหตุมาจาก“ทักษิณ ชินวัตร”ทั้งสิ้น !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

ตม.โชว์ผลงาน จับจีนเทาหนีกบดานไทย-แก๊งค้ามนุษย์-ยาเสพติด
ฮ่องกงรวบ13ราย ผู้ต้องสงสัยเหตุไฟไหม้ตึกสังเวย 151 ศพ
ทำงาน ทำงาน ทำงาน คำพูดเด็ดของนายกฯญี่ปุ่น ผงาดคว้ารางวัลวลีแห่งปี2025
'ครม.'รับทราบปี68 ประชาชนร้องทุกข์รวมทั้งสิ้น 134,999 ครั้ง 63,541 เรื่อง ได้ข้อยุติ 55,940 เรื่อง
ตม.อุบลฯจับตามหมายจังหวัดเชียงใหม่ ข้อหายักยอกทรัพย์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี