“นพ.บุญ วนาสิน” ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงประชาชนและฟอกเงิน
ผู้เสียหายหลายร้อยคน แฉว่า ถูกหลอกลงทุนในโครงการสุขภาพขนาดใหญ่ และได้จ่ายเช็คให้ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ พร้อมทั้งเช็คเพื่อชำระค่าดอกเบี้ยล่วงหน้า มูลค่าความเสียหายกว่า 8 พันล้านบาท
ขณะนี้ หมอบุญยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ มีสิทธิต่อสู้คดีพิสูจน์ความสุจริตตามกระบวนการยุติธรรม
แต่ล่าสุด หลังจากศาลอาญาอนุมัติหมายจับ ทราบว่า หมอบุญเดินทางต่อจากฮ่องกงไปจีนเเล้ว
เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างประสานตำรวจสากล ติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป
1. หมอบุญเคยแสดงบทบาทบนเวทีสาธารณะบ่อยครั้ง
กรณีที่ดินอัลไพน์ ก็มีชื่อ “หมอบุญ” เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
แต่ครั้งที่โด่งดังที่สุด คือ ช่วงโควิด-19 ที่ออกข่าวว่าสามารถจัดหาวัคซีนไฟเซอร์มาขายได้
ตอนนั้น อินฟลูเอนเซอร์ พิธีกรข่าว รายการข่าวหลายรายการ เพจดังต่างๆ ชาวสามนิ้วต่างพากันเชียร์ ยกย่อง เชิดชู ประโคมข่าวกันสนั่นหวั่นไหว ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของข่าวหมอบุญ
และนำไปดิสเครดิตรัฐบาล ทีมแพทย์ สาธารณสุข
บางราย ถึงขนาดเชียร์ให้หมอบุญเป็นนายกฯ !
บางราย เชียร์หมอบุญ ข่มทับหมอยง!
บางราย ไม่ยอมฉีดวัคซีนที่รัฐจัดหา แต่ยอมเสียเงินเพื่อจะฉีดวัคซีนที่หมอบุญโฆษณาว่าจะจัดหามาได้ดีกว่า ทั้งๆ ที่ รัฐบาลขณะนั้นดีลตรง และได้กำหนดเวลารับวัคซีนไฟเซอร์มาเร็วที่สุดแล้ว (แล้วก็ได้รับตามนั้นจริงๆ) แต่หมอบุญคุยโวว่าจะได้มาเร็วกว่า (แล้วก็ได้แค่ลมปาก)
มีข่าวว่าบางรายไม่ฉีดวัคซีนที่รัฐหาให้ เมื่อติดโควิดอาการหนัก เสียชีวิตไปก็มี
จนถึงบัดนี้ เมื่อความจริงปรากฏแล้ว แต่บรรดาสื่อและอินฟลูฯ ที่เคยเชียร์ เคยออกข่าวให้คนหลงใหลไปกับหมอบุญ เคยให้ร้ายด้อยค่าวัคซีนที่รัฐจัดการมาได้ มุ่งโจมตีสาดโคลนรัฐบาลขณะนั้น ก็ยังแกล้งทำเป็นลืมๆ หรือทำเป็นว่าไม่ได้ตามข่าว
2. กรณีหมอบุญกับวัคซีนทิพย์
ก.ล.ต. ได้ดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับนายแพทย์บุญ วนาสิน (หมอบุญ) ประธานกรรมการบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (THG) กรณีออกข่าวว่าสามารถนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ โดยจะให้ประชาชนเสียเงินฉีดได้ที่ รพ.เครือธนบุรี เป็นการเผยแพร่ข้อความอันอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดเกี่ยวกับเกี่ยวกับผลการดำเนินงานหรือข้อมูลอื่นใดของ THG ในลักษณะมีผลกระทบต่อราคาหรือการตัดสินใจลงทุนในหุ้น THG
โดยให้ผู้กระทำความผิดชำระเงินรวมจำนวน 2,348,834 บาท
ช่วงนั้น หมอบุญให้ข่าว ราคาหุ้น THG ก็ขยับตาม
บอกว่า เซ็นแน่ แล้วเวลาก็ล่วงผ่านไป
บอกว่า เซ็นแน่ แค่อ่านเอกสารแป๊บ แล้วเวลาก็ล่วงผ่านไป
บอกว่า มีข่าวดีแน่ภายในวันสองวัน แล้วเวลาก็ล่วงผ่านไป
บอกว่า เซ็นแน่ ได้ฉีดแน่ แล้วเวลาก็ล่วงผ่านไป
หน่วยงานรัฐไม่รู้กี่หน่วยงาน ที่ทยอยปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องด้วยเลยกับการจะนำเข้าไฟเซอร์ของหมอบุญ
สุดท้าย ไม่มีวัคซีนมาตามคำคุยโว
จนกระทั่งถูก ก.ล.ต. ลงโทษ นำให้ชำระเงิน 2,348,834 บาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 42 เดือน
3. กรณีหมอบุญกับคดีฉ้อโกงประชาชนและฟอกเงิน
ศาลอาญาได้ออกหมายจับนายแพทย์บุญ 5 ข้อหา คือ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน และข้อหาเช็คเด้ง หรือออกเช็คแล้วขึ้นกับธนาคารไม่ได้
ตามหมายจับศาลอาญาที่ 5645 - 5653 /2567ลงวันที่ 22 พ.ย.2567
พลตำรวจตรี นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ศาลอาญาออกหมายจับ 9 คน
ขณะนี้ ตำรวจจับแล้ว 8 คน
ส่วนหมอบุญ ตำรวจตรวจสอบ พบว่า เดินทางออกจากไทยตั้งเเต่วันที่ 29 กันยายน เวลา 14.25 น. เส้นทางกรุงเทพฯ-ฮ่องกง และล่าสุด ทราบว่า หมอบุญ เดินทางต่อจากฮ่องกงไปจีนเเล้ว
ข้อมูลการสืบสวนของตำรวจ พบว่า ในห้วงวันที่ 2 ถึง 4 กุมภาพันธ์ 2566 นายแพทย์บุญได้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง โดยออกสื่อสาธารณะ ทำการตลาด ซื้อโฆษณา สื่อออนไลน์ สำนักพิมพ์หลายเเห่ง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
กล่าวอ้างการลงทุน 5 โครงการ เกี่ยวกับธุรกิจการแพทย์ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง ได้แก่
• โครงการสร้างศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า พื้นที่ 7 ไร่ งบประมาณลงทุน 4,000 ล้านบาท
• โครงการเวลเนสเซ็นเตอร์ ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างที่พักอาคารสูง 52 ชั้น รองรับผู้สูงอายุ 400 ห้อง งบประมาณลงทุน 4,000-5,000ล้านบาท
• โครงการโรงพยาบาลในลาว 3 แห่ง แบ่งเป็นเวียงจันทน์ 2 แห่ง จำปาสัก 1 แห่ง
• โครงการเข้าร่วมทุนกับโรงพยาบาลในเวียดนามงบประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท
• โครงการสร้าง Medical intelligence ทำหน้าที่ด้านไอที ใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท
โดยกลุ่มผู้ต้องหามีการชักชวนนักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศ และบุคลากรวงการแพทย์ หลายร้อยคนเข้าร่วมลงทุน ในรูปแบบทำสัญญากู้ยืมเงิน โดยให้ดอกเบี้ยกับผู้เสียหายและได้จ่ายเช็คให้ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ พร้อมทั้งเช็คเพื่อชำระค่าดอกเบี้ยล่วงหน้า ในชื่อนายแพทย์บุญ
ในช่วงแรกให้ดอกเบี้ยกับผู้ที่เข้าร่วมลงทุนตามสัญญา แต่ต่อมาไม่ได้ชำระดอกเบี้ยตามกำหนด ในส่วนเช็คที่ออกไว้ให้ ก็ไม่สามารถนำไปขึ้นเงินกับธนาคารได้ จึงเป็นเหตุให้ผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดี มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 7,500 ล้านบาท
พฤติการณ์ยังพบว่า เมื่อผู้เสียหายให้เงิน โดยจ่ายเช็คให้กลุ่มผู้ต้องหา จะมีการโอนเงินไปยังบัญชีธนาคาร และให้เลขาฯ ของ นพ.บุญ เบิกเงินสดออกมาทั้งหมด โดยมีผู้เสียหายมีทั้งนักธุรกิจและบุคลากรทางการแพทย์ บางคนลงทุนสูงถึง 400-600 ล้านบาท
และจากการตรวจสอบพบว่า โครงการต่างๆ ที่นําเสนอผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีอยู่จริง พฤติกรรมดังกล่าวจึงเข้าข่ายเป็นความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน” จนกระทั่งนำไปสู่การออกมาจับ
พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ระบุว่า หมอบุญและพวก มีพฤติการณ์ในลักษณะไปกู้ยืมเงินกับเเหล่งเงินกู้ โดยมีคนใกล้ชิดเป็นผู้ค้ำประกัน เซ็นสลักหลังในเช็คทุกฉบับ มอบให้ผู้เสียหาย ในช่วงเเรกมีการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง ให้กับบางส่วนบางคน ต่อมาไม่มีการจ่ายเลย อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังพบว่า หลังจากได้เงินทุน 7,500 ล้าน พบว่าให้โบรกเกอร์ทยอยไปถอนเงินครั้งละเป็นร้อยล้าน โดยโบรกเกอร์จะได้ดอกเบี้ย เเละเปอร์เซ็นต์เป็นค่าตอบเเทน ซึ่งการกระทำทั้งหมอบุญเเเละโบรกเกอร์ จะไปชักชวนผู้ร่วมลงทุน ที่เป็นนักเล่นหุ้น กระเป๋าหนัก
“...อยู่ระหว่างขยายผลเส้นทางการเงิน รวมทั้งตรวจสอบย้อนหลังโครงการอื่นๆ เชื่อว่าไม่ได้มีเพียง 5 โครงการนี้โดยแผนประทุษกรรมเขาชัดเจนว่าจะให้เข้า พ.ร.บ.เช็ค แต่พบว่าโครงการไม่มีอยู่จริง ไม่มีการลงทุนจริง ถือว่าปกปิดข้อเท็จจริง เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน ส่วนกรณีหญิงคนหนึ่งที่ได้เปลี่ยนนามสกุล อ้างว่าถูกปลอมลายมือชื่อในการทำเอกสารนั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม หากพบว่ามีส่วนในการกระทำความผิดจะขอออกหมายจับด้วย” - พล.ต.ต.นพศิลป์รองผบช.น. กล่าว
4. นายชำนาญ ชาดิษฐ์ ทนายความของภรรยาและลูกสาวของหมอบุญ เปิดเผยว่า เบื้องต้นจากการพูดคุยสอบถามกับลูกความทั้ง 2 คน ทราบว่า ถูกนายเเพทย์บุญปลอมเเปลงลายเซ็น เป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาเงินกู้ เนื่องจากการตรวจสอบเบื้องต้นจากการตรวจเปรียบเทียบด้วยสายตา พบ ความผิดปกติ ทั้งลายเส้น น้ำหนักมือ รวมทั้งรูปแบบอักษร อย่างชัดเจน เเม้จะยังไม่มีการนำลายเซ็นเข้าสู่กระบวนการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ โดยมีการแจ้งความไว้ที่ตั้งแต่ ปี 2566 แล้ว
ในส่วนของผู้เสียหายจำนวนหนึ่ง เดินทางไปยื่นขอคัดค้านการประกันตัวภรรยาและลูกสาวของหมอบุญ ที่ถูกควบคุมตัวไว้แล้ว เนื่องจากเกรงว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน จะหลบหนี
นายหมี อายุ 40 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย เล่าว่า ตนเองถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนกับเพื่อนผ่านโบรกเกอร์บริษัทดังรายหนึ่ง โดยตนเองลงทุนไป 70 ล้านบาท เพื่อนลงทุน 100 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 170 ล้านบาท ตนไม่ได้รู้จักกับนพ.บุญ เป็นการส่วนตัว แต่เห็นผ่านสื่อโฆษณา จึงเชื่อถือ เพราะเป็นคนมีชื่อเสียง คิดไม่ถึงว่าจะมีพฤติกรรมเช่นนี้ โดยเงินส่วนใหญ่อ้างว่า จะนำไปลงทุนโครงการเวลเนส ริมแม่น้ำ พระราม 3 และโรงพยาบาลฯ และอ้างว่าจะนำไปลงทุนซื้อถุงมือทางการแพทย์ นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียหายรายอื่นอีกหลายราย มีผู้เสียหายรายหนึ่งเสียหายมูลค่าสูงสุดถึง 2,000 ล้านบาท เชื่อว่ามูลค่าความเสียหายทั้งหมดน่าจะสูงกว่าหมื่นล้านบาท
ผู้เสียหายเปิดเผยอีกว่า โบรกเกอร์และนายแพทย์บุญอ้างว่า จะได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยร้อยละ 8% ต่อปีซึ่งช่วงแรกมองว่า ไม่สมเหตุสมผล แต่นายแพทย์บุญได้นำหุ้นของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งมาค้ำประกัน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
ส่วนที่ลูกสาวและภรรยาปฏิเสธว่า ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น และถูกปลอมลายเซ็นนั้น นายหมีระบุว่า ไม่เชื่อ และตนเดินทางมากองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อคัดค้านการประกันตัวของสองแม่ลูก เพราะเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี เช่นเดียวกับนายแพทย์บุญ ที่หลบหนีไปก่อนหน้านี้
5. ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็น “บาปของหมอบุญ”
ทั้งหมด ล้วนเกิดแต่กรรม หรือการกระทำของหมอบุญทั้งสิ้น
ส่วนจะผิดหรือถูก ก็ขึ้นอยู่กับการพิสูจน์ในคดีตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี