ในตอนแรกๆ ผมสอนลูกศิษย์ the Art of Learning ซึ่งต่อมาผมเปลี่ยนเป็น The Art of Living หรือศิลปะในการดำรงชีวิต การสอนของผมมีหลักใหญ่ๆ คือ
1.สอนเรื่องวิธีการเรียน การเรียนด้านโรคต่างๆ การเรียนเพื่อเป็นแพทย์ที่ดี ที่เก่ง (เก่งคิด คน งาน เงิน เวลา “ขาย”และฟัง) รอบรู้และมีสุขภาพดี รวมทั้งการเขียนประวัติตนเอง (curriculum vitae) การสมัครงาน การไปเรียนต่อเมืองนอก การเรียนภาษาอังกฤษ จีน และญี่ปุ่น แนะนำการเรียนไปถึงลูกหลาน ฯลฯ 2.ผมสอนเรื่องการเงิน หรือ financial literacy คือ 1)การหารายได้ที่ดี(แต่พอเพียง ไม่คิดเงินผู้ป่วยเกินไป) 2)การใช้เงินที่เหมาะสม ประหยัด cost effective 3)รู้จักออม และ 4)รู้จักเอาเงินไปลงทุน(ไม่ใช่เล่นหุ้น)ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างทรัพย์สินขึ้นมา(คือ หาเงิน ใช้เป็น ให้คุ้มค่า(อย่าลืมเศรษฐกิจพอเพียง) ออม ลงทุน) และ 3.สอนให้มีความรอบรู้ คืออ่านหนังสืออ่านเล่น หนังสือพิมพ์ หนังสือที่ดีๆ คบเพื่อนหลายๆ อาชีพ ท่องเที่ยวมากๆ และ 4.ดูแลสุขภาพตนเอง ซึ่งผมเขียนบ่อยแล้ว
Financial หรือ money literacy การอ่านออกเขียนได้ มีความรู้ขั้นพื้นฐานทางการเงินหรือเศรษฐกิจ มีความสำคัญมาก เพราะประชาชนไทยกำลังมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าดูแลสุขภาพตนเองดี คือ ดูแลตั้งแต่ก่อนเราเกิด(โดยบิดา มารดา) ก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ และหลังเราเกิด อย่างดี และสม่ำเสมอ อีกหน่อยประชาชนที่เพิ่งเกิดปีนี้อาจมีอายุยืนยาวถึง 90-100 ปี ก็เป็นได้ ฉะนั้นประชาชนเหล่านี้ต้องพยายามทำให้ตนเองมีรายได้ที่ดี ใช้เป็น ออม ลงทุน จนมีเงินไว้ใช้เพียงพอ หลังเกษียณจากการทำงาน ซึ่งในอนาคตอย่างน้อยคงจะเกษียณตอนอายุ 65 ปี หรือมากกว่าเป็นแน่ ฉะนั้นประชาชนในสมัยนั้นต้องมีเงินเหลือที่จะจับจ่ายใช้สอยได้หลังเกษียณเมื่ออายุ 65 ปีแล้วต่อไปอีก 30 ปี หรือมากกว่า
การที่เราจะมีเงินเพื่อที่ใช้จ่ายหลังเกษียณอย่างเพียงพอไปอีก 30 กว่าปี โดยไม่ต้องทำงาน ต้องมีการวางแผนทางการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ เรียกว่าตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ร.9 เราจะต้องมีภูมิคุ้มกันในเรื่องการเงิน(รวมทั้งทางสุขภาพ การเรียน การทำงาน หรือการบริหารความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ ในทุกๆ เรื่อง) กล่าวคือ เรายิ่งเริ่มต้นเก็บ ออม เงินลงทุน ได้ยิ่งเร็วยิ่งดี
การมีความรู้ทางการเงินมี 4 ประเด็น คือ 1.หาเงิน 2.ใช้อย่างระมัดระวัง รอบคอบ รู้จักพอเพียง อย่างมีเหตุผล การที่เราจะหาเงินได้ดีในแต่ละเดือน เราจะต้องมีงานที่ดี นั่นก็คือ ต้องมีการศึกษาที่ดี ที่เหมาะสมกับตลาด ความต้องการของสังคม ของประเทศ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ผมมีความคิดมานานแล้วว่าประเทศไทยควรมีคณะกรรมการแห่งชาติ
ว่าด้วยการดูแลความต้องการบุคลากรทางด้านต่างๆ เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร นักวิจัย นักเศรษฐศาสตร์ นักกฎหมาย อาชีวะ ฯลฯ กี่คน และอนุสาขาอะไรบ้าง จะได้ตรงตามความต้องการของประเทศ ไม่ใช่เห่อกันไปเรียนสาขาวิชาบางสาขาจนล้นเฟ้อไปหมด ถ้าเราเรียนสิ่งที่สังคม ประเทศต้องการ เราก็น่าที่จะมีงานทำ มีเงินเดือน หรือรายได้ที่ดี
เมื่อมีรายได้ที่ดีแล้ว ต้องรู้จักใช้ด้วย ต้องรู้จักความพอเพียง ความมีเหตุผล มีเท่าไหร่ต้องพยายามใช้ให้น้อยกว่านั้น เช่น ผมเคยได้เงินเดือน เดือนละ 2,600 บาท ในปี พ.ศ.2514 ผมพยายามใช้ไม่ให้เกินและยังพยายามเก็บด้วยเดือนละ 100-200 บาท ทั้งๆ ที่สมัยโน้นไม่มีใครสอนว่า ต้องเก็บเงินจากรายได้โดยยังไม่หักค่าใช้จ่าย อย่างน้อย
10% ของเงินเดือน สมัยนี้มีการสอน แนะนำทั่วๆ ไปแล้วว่า พอได้เงินเดือนมาเช่น 10,000 บาท ควรหักไว้เลยอย่างน้อย 10-20% เช่น หักไว้ 1,000 บาท เพื่อนำยอดเงินนี้ไปออม แล้วที่เหลือ 9,000 บาท จึงไปใช้อย่างมีเหตุมีผล ถ้ามีเงินน้อยก็ควรใช้ตามฐานะ เช่น กินข้าวที่บ้านทุกวัน แทนที่จะออกไปกินนอกบ้าน ถ้าไปกินข้าวนอกบ้านกับเพื่อนก็ควรหารกัน ไม่ต้องไปเลี้ยงใคร หรือให้ใครเลี้ยง
เช่น ลูกศิษย์แพทย์ที่ผมสอนตอนเช้า 07.00-08.00 น. เป็นแพทย์ประจำบ้านภาควิชาอายุรศาสตร์ปีที่ 2 อายุประมาณ 28 ปี(จบแพทย์มาแล้ว 4 ปี ไปใช้ทุนต่างจังหวัดประมาณ 3 ปี มาเรียนที่จุฬาฯแล้วเข้าปีที่ 2)จะมีเงินเดือน ค่าอยู่เวร 28,000-30,000 บาท ผมแนะให้ใช้เงินไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน เป็นค่าอาหาร 3 มื้อ กินที่หอคงมื้อละไม่เกิน 100 บาท 3 มื้อก็ 300 บาท (อาหารจานละ 40 บาท กิน 2 จานต่อมื้อ อาจกิน/ไม่กินขนม ผมแนะไม่ให้กินขนม น้ำอัดลม ฯลฯ แต่ให้กินผลไม้แทน) เดือนหนึ่งค่าอาหารก็ 9,000 บาท มีค่ายาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่ น้ำหอม ฯลฯ ก็ไม่น่าจะเกินอีก 6,000 บาท จึงเหลือ 15,000 บาท ต้องพยายามไม่ใช้เกินนี้ ยกเว้นต้องเอาไปให้บิดา มารดา ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน คอนโด ที่ดิน ฯลฯ
แต่ผมแนะไม่ให้ซื้อรถช่วงนี้ เก็บเงินไว้ ขึ้นรถไฟฟ้า ใต้ดิน ฯลฯ จะดีกว่า เพราะพอซื้อรถ ราคาก็จะตกเลยและตกไปเรื่อยๆ และยังมีค่าน้ำมัน ค่าดูแลรักษา ไม่ควรเอาเงินก้อนใหญ่ไปจมไว้ตรงนี้ เอาไปลงทุนจะดีกว่า เช่น เอาเงินที่จะซื้อรถราคา 700,000 บาท (ยังมีรถที่ราคานี้อีกไหม ผมไม่ได้ซื้อรถใหม่มานานแล้ว) ไปลงทุนถ้าได้ปีละ 6-10% จะได้เงินปีละ 4 หมื่นถึง 7 หมื่นบาท!
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี