วันที่ 15 ต.ค. นายกรณ์ มีดี แกนนำเสื้อแดง ในฐานะเลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย และเลขานุการมูลนิธิเพื่อพระพุทธศาสนา ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีที่ พระราชรัชมุนี (นิมิต ทิพย์ปัญญาเมธี) เจ้าอาวาสวัดสวนดอก พระอารามหลวง ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ถูกดำเนินคดีในข้อหาใช้หลักฐานเท็จยื่นคำขอมีบัตรประชาชน โดยมิได้มีสัญชาติไทย หลังถูกร้องเรียนว่า เลขที่บัตรประชาชนตรงกับของ ด.ช.ดวงดี หรือ นายดวงดี เวียงดินดำ ชาว ต.บ้านแก้ง อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2538 โดยระบุว่า ขอปกป้องพระราชรัชมุนี และเสนอทางออกด้านกฎหมายต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
นายกรณ์อ้างว่า ไม่เคยรู้จักพระราชรัชมุนีมาก่อน แต่ถามคนรู้จัก ทราบว่า มีเมตตาต่อศิษย์ ชอบช่วยเหลือ ให้โอกาสคน ด้านการศึกษา สร้างสาธารณประโยชน์ ตนถามว่าทำไปเพื่ออะไร ได้รับ
คำตอบว่า ไม่ได้อยากได้อะไร ทำไปเพราะจิตเมตตาต่อมนุษย์ ซาบซึ้งต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงทุ่มเททำงานเพื่อพระพุทธศาสนา โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนใด ๆ แต่จากข่าวอันโด่งดัง มีบุคคลสองคนไปฟ้องว่า เจ้าอาวาสวัดสวนดอก สวมสิทธิคนตาย ถือเป็นโอกาสอันดี สำหรับกลุ่มผู้ประสงค์จะทำลายพระพุทธศาสนา ได้ฉวยโอกาสถล่มเล่นงานชนิดไม่ไว้หน้า สื่อบางสำนัก รวมถึงผู้มีอำนาจบางคน เรียกว่าเป็น “สมี” ยกว่าปาราชิกขาดจากความเป็นพระ บางคนก็อ้างว่า ทำผิดกฎหมายจึงต้องถูกดำเนินคดี ทำให้ต้องสึกขาดจากความเป็นพระ
“ประเด็นทางกฎหมาย สำหรับตอบโต้พวกที่เรียกท่านว่า สมี และพวกที่บอกว่าท่านต้องปาราชิกเพราะทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ผมถามว่า ศาลตัดสินแล้วเหรอ ว่า ท่านทำผิดจริง หรือว่าท่านสั่งศาลได้ให้ตัดสินตามที่ท่านชอบได้ ท่านจึงกล้าเรียกท่านเจ้าคุณนิมิตว่า สมี ส่วนประเด็นทางพระวินัย การขาดจากความเป็นพระได้นั้น เราต้องยึดจากพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ซึ่งมีบางข้อที่ไปเกี่ยวกับกฎหมายทางโลก”
นายกรณ์กล่าวว่า การขาดจากความเป็นพระมีเพียง 4 ข้อ คือ ปาราชิก 4 ประกอบด้วย 1. เสพเมถุน เสพกามไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์หรือคนตาย ระดับอวัยวะเพศของพระรูปนั้นๆ ล่วงเข้าเกินเมล็ดถั่วงา 2. เจตนาลักทรัพย์ เกิน 5 มาสก ซึ่งยุคพุทธกาล 5 มาสก เทียบกับสมัยนี้ น่าจะมากพอสมควร 3. เจตนาฆ่ามนุษย์ 4. เจตนาอวดอุตริมนุสธรรม ที่ไม่มีจริง หมายความว่า โอ้อวดฤทธิ์ หรือโอ้อวดว่าตนเองเป็นพระอริยบุคคล ทั้งที่ทราบดีว่าตนเองไม่ได้เป็น แต่หากเข้าใจผิดก็ยังไม่ถือว่าอวดอุตริมนุสธรรม นี่คือ อาบัติที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระ และที่สำคัญ ต้องมีจิตเจตนาจริงๆ จึงจะขาด ดังนั้น พวกที่อ้างว่าพระราชรัชมุนี ต้องอาบัติปาราชิก มากล่าวอ้างเพื่อโจมตีใส่ร้าย ผสมโรงเล่นงาน ก็ขอให้เข้าใจเสียใหม่
ส่วนประเด็นด้านจารีตประเพณีของพระในพระพุทธศาสนา นายกรณ์กล่าวว่า ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของพระพุทธองค์ให้ไปจาริกสั่งสอนไปยังแว่นแคว้นต่างๆ โดยไม่ได้ขออนุญาตเข้าเมือง หรือเป็นประชาชนของประเทศนั้น จนเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปได้อย่างกว้างไกล พระในหลายประเทศติดต่อกับไทย ที่ผ่านมาพบว่า พระจำนวนมาก เดินธุดงค์ จาริกไปสั่งสอนทั้งคนไทย พม่า รามัญ ลาว เขมร ก็อาศัยเดินธุดงค์ไปมาหลายประเทศในแถบนี้ จนกลายเป็นจริยวัตร เป็นประเพณีของพระในแถบประเทศนี้ ไปที่ใดก็มุ่งหวังแสวงหาโมกข์ธรรม มุ่งสั่งสอนคนให้พ้นทุกข์ มุ่งเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยมิได้ทำเอกสารเข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมายแต่ประการใด นั่นเพราะส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องกฎหมาย
ส่วนประเด็นด้านมนุษยธรรม แม้บทสรุปสุดท้าย ศาลตัดสินว่าพระราชรัชมุนีผิดจริงก็ตาม แต่ในฐานะมนุษย์เราต้องหันมาดูว่า ทำผิดอะไรร้ายแรงหรือ ไม่ได้ฆ่าคน ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้เสพเมถุน ไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรม ไม่ได้ข่มเหงรังแกคนไทย ไม่ได้โกงบ้านโกงเมือง และไม่ได้ทำลายประเทศไทย แต่ตรงกันข้าม พระราชรัชมุนี สร้างให้มีพระในประเทศไทยจำนวนมาก ช่วยเหลือให้คนจนมีที่เรียน ให้ทุนการศึกษา จนหลายคนจบมาเป็นใหญ่เป็นโตในประเทศไทย ทุ่มเทให้คนที่ด้อยโอกาสให้ได้รับโอกาสได้เรียนตั้งแต่มัธยมศึกษายันปริญญาเอก ให้พระได้เรียนนักธรรรมบาลี จนสร้างมหาเปรียญมากมาย รวมทั้ง สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม จนมีคนเข้าไปปฏิบัติธรรมจนเกิดความร่มรื่น ชีวิตมีทางเดินตามหลักธรรมตั้งมากมาย สร้างสาธารณประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับประโยชน์ตรง ๆ อย่างต่อเนื่องมาตลอดชีวิต สิ่งที่กระทำ มากมายมหาศาล ซึ่งนักการเมืองจำนวนมากทำไม่ได้อย่างท่านเลย
“ผมจึงขอโอกาสต่อสังคมไทย ต่อคนไทย อย่าเพิ่งมองว่าท่านทำผิดแล้ว ท่านทำชั่ว พระทั้งหลายองค์อื่นๆ ไม่ดี ต่อให้สุดท้ายแล้วกระทำความผิดนั้นจริงตามกฎหมาย ผมก็เชื่อว่า ท่านไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อประเทศไทย ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อพระพุทธศาสนา และท่านไม่ได้ตั้งใจทำผิดกฎหมายบ้านเมือง” นายกรณ์ กล่าว
นายกรณ์กล่าวว่า ประเทศไทย มีกฎหมายกี่พันฉบับ รวมแล้วกี่มาตรา อาจจะเป็นแสนมาตรา เราไม่มีทางรู้กฎหมายได้หมด เชื่อว่า เราทุกคนทำผิดกฎหมายกันมาแล้วทุกคน บ้างก็ทราบ บ้างก็ไม่ทราบ บ้างก็เจตนา บ้างก็ไม่เจตนา ประเทศไทย พยายามผลักดันมาตลอดไม่ให้พระไปยุ่งกับการเมือง พระเกือบทั้งหมดก็เลยไม่ยุ่ง รัฐบาลจะออกกฎหมายมากี่ฉบับ พระก็ไม่รู้เรื่อง ขนาดออกกฎหมาย ห้ามสูบบุหรี่ในวัด ยังแทบไม่มีพระรูปไหนทราบเลย ไปทราบก็ตอนมีคนไปตระเวนแจ้งความจับเจ้าอาวาสทั่วประเทศ จึงเริ่มรู้ว่า มีกฎหมายข้อนี้ ขนาดกฎหมายเกี่ยวกับวัดแท้ๆ พระยังไม่ทราบ ถ้าเป็นกฎหมายอื่น ยิ่งยากไปใหญ่
“พวกนักกฎหมายนี่แหละตัวดี ชอบพูดเสมอว่า คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า ถ้าเป็นคนไทย ต้องรู้กฎหมาย คุณจะมาอ้างว่า ไม่รู้กฎหมายไม่ได้ ลองย้อนกลับไปถามนักกฎหมายคนนั้นเถอะว่า
มันรู้กฎหมายแค่ไหน รับรองในประเทศไทย ไม่มีใครรู้กฎหมายที่ออกมาหลายพันฉบับ กันทุกมาตรา ผมเชื่อว่า ท่านแค่ต้องการมีที่ยืนในประเทศไทย เพื่อทำประโยชน์ให้แก่ชาวพุทธและคนไทย อาจจะหลงเชื่อคนบางคนที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ช่วยดำเนินการให้ท่าน ท่านไม่ได้เป็นผู้ร้ายหนีเข้าเมือง ท่านเป็นคนดีมาช่วยเหลือประเทศไทย ท่านไม่ได้เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย” นายกรณ์ กล่าว
ในตอนท้าย นายกรณ์ เสนอแนวทางแก้ไขสำหรับสังคม อย่าเพิ่งตัดสินแทนศาล อย่าไปเรียกว่า สมี พราะสมี ใช้เรียกพระที่ปาราชิก 4 เท่านั้น ไม่ใช่ผิดเพราะกฎหมายโดยไม่ได้ผิดปาราชิก 4 ขอโอกาสให้พระราชรัชมุนี และคณะสงฆ์ทั้งประเทศ อย่าเชื่อแต่ข่าวที่ทำร้าย ข่าวที่ทำลายคณะสงฆ์ไทย ส่วนรัฐบาล คสช. ขอร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ช่วยพิจารณาคุณงามความดีของ พระราชรัชมุนี ที่สั่งสมมา ช่วยหาทางออก ดังนั้น ใช้มาตรา 44 มอบพลเมืองพิเศษ หรือราษฎรพิเศษ ให้พระราชรัชมุนี พร้อมให้สิทธิต่างๆ เทียบเท่าของเดิมที่ได้รับทุกประการ รวมทั้งใช้มาตรา 44 นิรโทษในความผิดต่างด้าวสวมสิทธิหากทำผิดจริง
นายกรณ์อธิบายว่า ที่ร้องขอเช่นนั้น เพราะ พระราชรัชมุนี อยู่ประเทศไทยมาตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่ได้มีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทย และหากทำผิดกฎหมายจริง ไม่ได้ทำผิดกฎหมายที่ร้ายแรงจนให้อภัยไม่ได้ สร้างคุณูปการต่าง ๆ อย่างมากมายต่อพระพุทธศาสนา และต่อประเทศไทย ทำผิดเรื่องเล็ก ๆ เรื่องเดียว แต่สร้างคุณงามความดีที่นับไม่ถ้วนต่อประเทศไทย ต่อสังคมพุทธ แม้เรื่องนี้เป็นเฉพาะบุคคล แต่ก็สามารถอ้างเหตุที่ทำความดีมาตลอดชีวิต จึงสมควรใช้มาตรา 44 เฉพาะบุคคล มอบพลเมืองพิเศษ หรือราษฎรพิเศษ เช่นที่ประเทศอื่นๆ เขาให้สำหรับคนต่างชาติที่สร้างคุณูปการต่อประเทศนั้นๆ
“ฝากสังคมอีกเรื่อง ลองหันกลับมามองสองบุคคลที่ไปฟ้องร้องท่าน มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือไม่ ทำไปเพื่ออะไร เป็นเรื่องแก้แค้นหรือไม่ มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ สูญเสียประโยชน์อะไรหรือไม่ หรือรักพระพุทธศาสนาจริง ๆ ขอวอนสังคมไทย อย่าเชื่อแต่กระแสสังคมที่มุ่งทำลายพระพุทธศาสนา หลักหัวใจของพระพุทธศาสนา อยู่ที่พระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล ฝากหัวหน้า คสช. ใช้มาตรา 44 มอบพลเมืองพิเศษ หรือราษฎรพิเศษ ให้ท่านเจ้าคุณด้วย พวกเราคือชาวพุทธ ผนึกกำลังชาวพุทธ หยุดภัยคุกคาม” นายกรณ์ กล่าว
เรื่องนี้ มีมุมที่ควรแก่การพินิจพิเคราะห์ดังต่อไปนี้
1) ไม่ได้ทำผิด แล้วหนีทำไม บัดนี้เจ้าคุณท่านอยู่ที่ไหน ทำไมไม่เข้าพบกับเจ้าหน้าที่ ปฏิเสธข้อกล่าวหา แล้วต่อสู้พิสูจน์ความจริง
2) หากใช้หลักเดียวกับนายกรณ์ ที่อ้างว่า อย่าทำตัวเป็นศาล ท่านยังไม่ถูกศาลตัดสินเลยว่าถูกหรือผิด ไปเรียกท่านอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ต้องย้อนถามนายกรณ์ว่า ในเมื่อท่านยังไม่ได้ถูกตัดสินเลยว่าถูกหรือผิด จะมาขอให้ใช้อำนาจพิเศษ กฎหมายพิเศษ “นิรโทษกรรม” ให้ท่านทำไม? ก็ในเมื่อการนิรโทษกรรม มันหมายถึงการยกโทษ ไม่ลงโทษคนที่ทำผิด หากท่านเจ้าคุณของนายกรณ์ไม่ได้ผิด มาขอนิรโทษกรรมทำไมครับ?
3) ในหมู่คนเสื้อแดงแบบนายกรณ์นี่ ช่างมีตรรกะพิลึกๆ ออกมาให้สังคมงุนงงเล่นอยู่เสมอ เป็นหมู่คนที่ไม่เคารพกฎหมาย เห็นกฎหมายเป็นของเล่น ชอบกฎหมายเมื่อมีประโยชน์กับตัว ชังกฎหมายเมื่อฝ่ายของตัวถูกกระทำ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัฒน์ ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งปล่อยให้คนเสื้อแดง “ตายฟรี” ทำไมไปยอมรับกฎหมายที่เลวทรามเช่นนั้นได้ ทำไมตอนนั้นไม่ออกมาต่อสู้เพื่อให้คนที่ตาย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นคนเสื้อแดงได้รับความเป็นธรรม ทำไมยอมให้ฆาตกรได้ประโยชน์ด้วยการงดเว้นการบังคับใช้กฎหมาย มาครั้งนี้ ก็ดูเหมือนมิได้สนใจจะพิสูจน์ว่าท่านเจ้าคุณทำผิดกฎหมายหรือไม่ จะให้นิรโทษกรรมท่าเดียว แถมด่าคนที่เรียกร้องให้บังคับใช้กฎหมายอีก ถึงกับมองว่าเป็นฝ่ายทำร้ายพระศาสนานั่นเทียว อาการหนักไปไหมพี่? เสมือนกฎหมายมีไว้ให้ถูกใจ มิได้มีไว้เพื่อความถูกต้องกันแล้วกระมัง
4) สิ่งที่ควรสนใจก็คือ การนำตัวท่านเจ้าคุณมาพิสูจน์ ว่าสวมสิทธิใช้บัตรประชาชนคนตายจริงไหม ถ้าจริง ไม่ว่าท่านจะชั่วหรือดี ช่วยคนมาเท่าไหร่ มีเมตตาแค่ไหน ท่านก็ทำสิ่งผิดกฎหมาย เพียงแต่อาจใช้ความดีที่นายกรณ์พร่ำพรรณนามาทั้งหมดนั่น ขอลดหย่อนผ่อนโทษเท่านั้นเอง หากอยากได้สัญชาติ มีเงื่อนไขอื่นๆ ให้ข้อได้เยอะแยะ นี่ปกปิดสัญชาติใช่ไหม สวมสิทธิใช่ไหม แล้วเอาตัวปลอมๆ ไปเลื่อนสมณศักดิ์จนขึ้นมาเป็นระดับนี้ได้ ถามว่ามัน “สุจริต” ไหม เหมาะควรแก่ความเป็น “พระ” แล้วใช่ไหม
หลักการบ้านเมืองคือ ทุกคนต้องรู้กฎหมาย เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญเลยเชียวล่ะ แม้ในทางปฏิบัติ ไม่มีใครหรอก ที่รู้กฎหมายไปหมด กระนั้นก็ตาม ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะยกเว้นการลงโทษคนที่ทำผิดกฎหมาย ต่อให้นุ่งเหลืองห่มเหลืองก็เถอะ ยิ่งต้องขีดเส้นใต้ห้าร้อยเส้นเลยว่า ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ทำผิดศีล นี่อาจปกปิดตัวตน หลอกลวงญาติโยม หลอกลวงคณะสงฆ์ จนได้เลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา เรายังไม่เรียกว่า “ความดี” นะครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี