พลันที่ “กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง” มีผลบังคับใช้ มันกลับไม่อาจบังคับใช้!!
หากมันเป็นกฎหมายที่ดีพอ เพราะผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว ทั้งในชั้นกรรมการร่าง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ กรรมาธิการร่วม คณะรัฐมนตรี และองค์พระประมุข,
แล้วใคร? ไปทำให้มันไม่อาจบังคับใช้
ผมขอตอบด้วยการไล่เลียงเหตุการณ์นับจากนั้นให้ดูกันอย่างกระจ่างก็แล้วกันนะครับ
จู่ๆ คสช. ก็ใช้อำนาจหัวหน้า คสช. ออก ม.44 เป็นคำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 มาระงับการบังคับใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง โดยอธิบายว่า
“ตามที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มีผลใช้บังคับแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค.2560 ซึ่งพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นก่อนหน้านั้น ต้องเริ่มดําเนินการต่างๆ ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดส่วนบุคคลซึ่งประสงค์จะจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ ก็ให้ยื่นคําขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองได้ โดยดําเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติ แต่เนื่องจากประกาศ คสช.ฉบับที่ 57/2557 เรื่อง ให้ พ.ร.ป. บางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ลงวันที่ 7 มิ.ย. 2557 และคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ลงวันที่ 1 เม.ย. 2558 ยังมีผลใช้บังคับ การดําเนินกิจกรรมทางการเมืองเช่นว่านี้ จึงยังไม่อาจกระทําได้”
พูดง่ายๆ ว่า อ้างถึงหน้าที่ “การรักษาความสงบ” ทำให้ต้องระงับการที่พรรคการเมืองทั้งหลาย ต้อง “ทำตามกฎหมาย” ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองนั้น และมีคำอธิบายตามมาอีกว่า
“คสช. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้สถานการณ์รอบด้านในขณะนี้จะสงบเรียบร้อย ประชาชนทั่วไปสามารถดําเนินชีวิตและประกอบหน้าที่การงานได้เป็นปกติสุข แต่ก็ยังมีความจําเป็นต้องคงประกาศ คสช.ที่ 57/2557 และคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อไม่ให้มีผู้ฉวยโอกาสอ้างการดําเนินการตามกฎหมายไปกระทํากิจกรรมทางการเมืองอื่น อันกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยและความปกติสุขในบ้านเมือง ซึ่งกําลังดําเนินมาด้วยดี ตลอดจนกระทบต่อบรรยากาศความสามัคคีปรองดอง การอยู่ระหว่างการจัดทําแผนการปฏิรูปประเทศ และการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ประกอบกับในขณะนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติยังพิจารณาร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา และร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่แล้วเสร็จ
แต่ทั้งนี้การคงประกาศและคําสั่งดังกล่าวต่อไปอีกระยะหนึ่งต้องไม่ทําให้พรรคการเมืองเสียสิทธิและโอกาสตามกฎหมาย จึงสมควรขยายกําหนดเวลาตามบทเฉพาะกาล มาตรา 141 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งกําหนดเวลาดังกล่าวอาจขยายได้อยู่แล้วเป็นกรณีๆ ไป โดยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่เพื่อให้ทุกพรรคการเมืองได้รับประโยชน์เสมอกันจึงควรได้รับการพิจารณาไปพร้อมกัน”
ในคำสั่งนั้น จึงมี “บทเฉพาะกาล” ออกมา “ใช้งาน” แทนกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เสมือนออกกฎหมายอีกฉบับ มาระงับ พ.ร.ป.พรรคการเมือง และมีเนื้อหาในบทเฉพาะกาล เป็นกฎหมายอีกฉบับ เพื่อใช้งานแทน พ.ร.ป.พรรคการเมือง)
ใจความสำคัญของบทเฉพาะกาล คือ
1) ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2561
ผู้ประสงค์จะจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่สามารถดำเนินการทางธุรการได้ เช่น โดยต้องหาผู้ร่วมอุดมการณ์อย่างน้อย 500 คน, หาทุนประเดิม 1 ล้านบาท, เรียกประชุมผู้ก่อการ 250 คนเพื่อกำหนดชื่อพรรคและสัญลักษณ์ เลือกหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค เหรัญญิก และกรรมการบริหารพรรค ซึ่งในการจัดประชุมเพื่อยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรค ต้องได้รับอนุญาตจาก คสช.ก่อน
2) หลังวันที่ 1 เม.ย.-1 พ.ค. 2561
พรรคการเมืองเก่าต้องจัดทำทะเบียนรายชื่อสมาชิก และให้สมาชิกชำระค่าบำรุงพรรค ส่วนเงื่อนไขที่ต้องทำภายใน 180 วัน หรือภายใน 1 ปี หลังประกาศใช้ พ.ร.บ.พรรคการเมือง เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2560 ให้เลื่อนไปเริ่มนับหนึ่งจากวันที่ 1 เม.ย. 2561
3) ภายใน 90 วัน นับจากยกเลิกประกาศ คสช.ฉบับที่ 57/2557 และคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 3/2558
พรรคการเมืองจัดประชุมใหญ่เพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคได้ อย่างไรก็ตาม การยกเลิกประกาศและคำสั่งทั้ง 2 ฉบับ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถูกประกาศลงราชกิจจานุเบกษาแล้ว หลังจากนั้น ครม. คสช. จะร่วมกันเพื่อจัดทำแผนและขั้นตอนดำเนินการการเมืองเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง (โรดแมป) โดยหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และอาจเชิญผู้แทนพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองร่วมด้วย
คำสั่งนี้ มีผลทางการกระทำเท่ากับ “แก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง โดยไม่ผ่านสภา” ใช้อำนาจของตนแต่เพียงผู้เดียว เปลี่ยนแปลงแก้ไข ทั้งเจตนารมณ์ สาระสำคัญ และขั้นตอนการปฏิบัติ สุดท้ายพรรคการเมืองต้องปฏิบัติตาม คำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 แทนการปฏิบัติตาม “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง” ซึ่งผ่านทุกขั้นตอนของการตรากฎหมายอย่างถูกต้อง รวมถึงขั้นตอนขององค์พระประมุขด้วย
สองพรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ ออกมามีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ โดย
► วันที่ 16 ม.ค.2561 พลตำรวจโท วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นำทีมกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย แถลงเรื่อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ประเด็นการแก้ไขกฎหมายพรรคการเมืองขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 213 ประกอบมาตรา 5 ซึ่งประเด็นสำคัญ มองว่า คำสั่งดังกล่าวไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของ มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 เป็นเหตุโดยชอบที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของคำสั่งดังกล่าวว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งนี้ ในการแก้ไขกฎหมายต่างๆ นั้น โดยเฉพาะพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ถือว่ามีการประกาศใช้ และลงราชกิจจานุเบกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.ต้องเป็นผู้ดำเนินการแก้ไขกฎหมาย ดังนั้น การที่หัวหน้า คสช.ออกคำสั่งแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เท่ากับเป็นการลบล้างกระบวนการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ การออกคำสั่งที่มีผลเป็นการลบล้างสมาชิกภาพของสมาชิกพรรคการเมือง มิใช่การออกกฎหมายจำกัดสิทธิเท่านั้น แต่เป็นการยกเลิกสิทธิของการเป็นสมาชิกพรรค จึงกระทบต่อสาระสำคัญของสิทธิเสรีภาพของบุคคล และยังเป็นการเพิ่มภาระแก่สมาชิก ขัดต่อหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญ
ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าในช่วงบ่ายของวันดังกล่าว ได้มอบอำนาจให้คณะทำงาน และทนายของพรรคเพื่อไทยเข้ายื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมมองว่าที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจ คสช.ออกคำสั่งชอบด้วยกฎหมายนั้น ส่วนตัวมีความเห็นว่าการจะทำให้คำสั่งชอบด้วยกฎหมาย ต้องให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญด้วย
► วันที่ 23 มกราคม 2561 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยแกนนำพรรค ยื่นคำร้องขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของคำสั่งคสช.ที่53/2560 เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เพื่อให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำสั่งดังกล่าว โดยยกเหตุผลประกอบคำร้อง
5 ข้อ คือ
1.ประเด็นที่กำหนดให้สมาชิกพรรคต้องยืนยันความเป็นสมาชิกต่อหัวหน้าพรรคภายใน 30 วัน มีผลไม่ต่างจากการรีเซตสมาชิกพรรคการเมือง หรือเท่ากับบังคับให้สมาชิกพรรคการเมืองพ้นสมาชิกภาพทั้งหมดและต้องสมัครใหม่โดยปริยาย
2.ในคำสั่งดังกล่าวยังห้ามไม่ให้พรรคการเมืองที่มีอยู่แล้ว ดำเนินการประชุมหรือดำเนินกิจการใด ๆ ในทางการเมือง ทำให้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถสื่อสารกับสมาชิกพรรคโดยวิธีปกติในทางการเมืองได้
3.คำสั่งคสช.ที่ 53/2560 มีลักษณะเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองใหม่ บ่อนทำลายพรรคการเมืองเดิมที่มีขนาดใหญ่ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์และสมาชิกพรรคได้รับความเดือดร้อน
4.คำสั่งดังกล่าวละเมิดสิทธิเสรีภาพของสมาชิกพรรคที่เป็นประชาชนตามรัฐธรรมนูญ จึงขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในเรื่องการปฏิรูปและไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ และกระบวนการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์และสมาชิกพรรคได้รับความเสียหาย
5.คำสั่งคสช.ที่ 53/2560 ตราขึ้นโดยมิได้ปฏิบัติตามกระบวนการตามรัฐธรรมนูญมาตรา77 และมาตรา 132 (2)
จำเนียรกาลผ่านพ้นมาจนถึงวันที่ 30 มีนาคม เพิ่งจะมี “ความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน” ออกมา ทั้งๆ ที่เหลือเวลาอีกแค่ 2 วัน พรรคการเมืองเก่าต้องปฏิบัติตามคำสั่ง คสช. ที่ไม่รู้แน่ว่า ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ เช่นเดียวกับพรรคการเมืองใหม่ๆ ก็ดำเนินการจดแจ้งจองชื่อกับ กกต. ไปแล้ว แถมระหว่างนั้น สนช. ยังอ้างคำสั่งนี้ ไป “ยืดระยะเวลาบังคับใช้” พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ออกไปอีก 90 วัน โดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับพรรคการเมือง และไม่รอให้มีการตีความคำสั่งฉบับนี้ของ คสช. ด้วย
โดย นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงภายหลังการประชุมผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่าที่ประชุมมีมติให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ที่ 53/2560เรื่องการดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยพรรคการเมืองขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตามที่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยยื่นคำร้อง เนื่องจาก หลังจากที่ผู้ตรวจฯได้รับคำร้อง และมี 2 หน่วยงาน คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำชี้แจงมา แต่หัวหน้า คสช.ไม่ได้ส่งคำชี้แจงมา
“เมื่อพิจารณาคำชี้แจง ประเด็นที่มีการร้องแล้ว เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยเป็นผู้เสียหายและได้รับความเดือดร้อนโดยตรง ขณะที่ คสช.มีอำนาจออกคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ดังนั้นคำสั่งดังกล่าว จึงชอบด้วยกฎหมาย แต่เนื้อหาของคำสั่งที่ 53/2560 ที่มีการแก้ไขแนวปฏิบัติของพรรคการเมืองตามมาตรา 140 และ มาตรา 141 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองโดยมาตรา 140 เกี่ยวกับการให้สมาชิกพรรคที่ประสงค์จะยังคงเป็นสมาชิกพรรคต่อไป ยืนยันตนเอง พร้อมแสดงหลักฐานมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามต่อหัวหน้าพรรคภายใน 30วัน หากพ้นกำหนดแล้ว ไม่ยืนยันให้ถือว่าพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคนั้นถือเป็นการรอนสิทธิของสมาชิกพรรค และเพิ่มภาระให้กับสมาชิก รวมทั้งยังมีระยะเวลาดำเนินการกระชั้นชิด”
นายรักษเกชา กล่าวต่อว่า กรณีที่แก้ไขมาตรา 141(4)ซึ่งเกี่ยวกับการจัดประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขข้อบังคับ จัดทำคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมือง เลือกหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค (5)เกี่ยวกับการจัดตั้งสาขาพรรคและตัวแทนพรรคการเมืองประจำ จังหวัดให้ครบถ้วนตามที่ พ.ร.ป.พรรคการเมืองกำหนดภายใน 90 วัน และกกต.สามารถขยายเวลาได้ครั้งหนึ่งแต่หากครบเวลาแล้วพรรคไม่สามารถดำเนินการได้ ให้พรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพไป โดยการดำเนินการดังกล่าวดำเนินการได้เมื่อมีคำสั่งยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 57/2557 และคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 แล้ว จึงเป็นการสร้างภาระให้แก่พรรคการเมืองเกินสมควร และเห็นว่า ทั้ง 2 ประเด็นเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 25,26,27 ประกอบมาตรา 45 ซึ่งทางผู้ตรวจการแผ่นดิน จะยื่นคำร้องและหลักฐานต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 30 มี.ค.
“แม้ผู้ตรวจฯจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ แต่ถ้ายังไม่มีคำวินิจฉัยออกมาในวันที่ 1 เมษายนนี้ พรรคการเมือง ยังคงต้องปฏิบัติตามคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ไปก่อนได้เพราะการออกคำสั่งดังกล่าวมีกฎหมายรองรับถูกต้องและเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เมื่อยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จึงต้องปฏิบัติตาม” นายรักษเกชากล่าว
ก็น่าคิดว่า ที่ผ่านมา กระบวนการพิจารณาของผู้ตรวจการยุ่งยากซับซ้อนอะไรนักหนา ถึงมีความเห็นออกมาได้ล่าช้าถึงเพียงนี้ ในขณะที่พรรคการเมืองต้องปฏิบัติตามคำสั่ง คสช. ที่ไม่รู้ว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในวันที่ 1 เมษายนนี้แล้ว
หากศาลรัฐธรรมนูญรับไว้วินิจฉัย ก็ยังไม่รู้อีกว่าท่านต้องใช้เวลาสั้นยาวเพียงใด
หากวินิจฉัยว่าไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญล่ะ จะมีผลอย่างไร ไอ้ที่ปฏิบัติกันไปแล้ว ไอ้ที่ สนช. อ้างคำสั่ง คสช. ฉบับนี้ไปยืดเวลาในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีกฉบับ จะถูกต้อง ชอบธรรม ดีงาม สง่างาม พึงต้องยึดถือและปฏิบัติตามหรือไม่
ที่เล่ามาทั้งหมด คิดกันเอาเองเถิดวิญญูชนทั้งหลาย ว่าโรดแมปมันต้องสับสน การปฏิบัติไปสร้างภาระและความวุ่นวายให้แก่พรรคการเมืองและประชาชนนั้น เป็นฝีมือของใคร?!?!?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี