ได้ยินหลายคน พูดถึงการเวียนวนระหว่าง “เลือกตั้ง-มีรัฐบาล-ทุจริต-ชุมนุม-รัฐประหาร-ฉีกรัฐธรรมนูญ-ร่างรัฐธรรมนูญใหม่-เลือกตั้ง-ขัดแย้ง-ชุมนุม-รัฐประหาร” วนเวียนอยู่อย่างนี้ น่าเบื่อ!!
ฟังแล้วก็เบื่อจริงๆ ครับ เบื่อคนพูดน่ะครับ (ฮา...)
วงจรมันมีอยู่เท่านี้แหละ จะเอาอะไรมากกว่านี้ ถ้าต้องการให้ดีกว่านี้ มันก็ต้องไปแก้ไขด้วยการดูปัญหาทีละเปลาะ เช่น ทำไมการชุมนุมจึงเกิด ทำไมจึงทุจริตกันได้อย่างหน้าด้านๆ ทำไมประชาชนจำนวนหนึ่งจึงสนับสนุนคนทุจริต อะไรเปิดทางให้ทหารรัฐประหารได้ รัฐธรรมนูญผิดตรงไหน ทำไมต้องฉีก เป็นต้น
ทุกผลที่เกิด ย่อมมีเหตุที่มา จะแก้ไขได้อย่างไร ถ้าไม่วิเคราะห์ “สาเหตุ” ให้รอบด้าน
นี่เห็นบางพรรค เช่น อนาคตใหม่ ชูนโยบาย “นี่คือรัฐประหารครั้งสุดท้าย เราจะไม่ยอมให้เกิดรัฐประหารอีก” อือ...น่าสนใจ จะทำยังไงล่ะหนู ถ้าเกิดระบบรัฐสภามันล่ม มันเหลว มันเลวอีก หนูเคยแตะต้อง วิจารณ์ อย่างกล้าหาญบ้างไหม ว่าระบบรัฐสภาที่เลวทราม อย่างน้อยในรัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ที่ “ลุแก่อำนาจของเสียงส่วนใหญ่” กับ “แปลงอำนาจเป็นผลประโยชน์” นั้น ดีงามหรือต่ำทรามอย่างไร จะป้องกันและแก้ไขมันอย่างไร นอกจากที่หนูมองว่าเป็นคดีการเมือง แล้วหนูจะนิรโทษ
เช่นเดียวกับระบบรัฐสภาแบบรัฐบาลผสม แล้วยังต้องรบกับมวลชน นปช. ในสมัยอภิสิทธิ์ อีก หากอยากจะวิจารณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กับม็อบ กปปส. ด้วยก็ดีเลย จะได้เห็น “ปัญญา+มุมมอง” ว่าเฉียบคม มีเหตุผลเพียงใด ไม่ใช่ “ตีหัวเข้าบ้าน” หาเสียงจากการ “เกลียดรัฐประหาร-เกลียดทหาร” ของคนบางกลุ่ม เพื่อเป็น “พรมกลีบกุหลาบ” เดินเข้าสู่อำนาจของตนเองกับพวกอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้
นี่คือสิ่งแรกที่ผมอยากจะชี้ว่า คุณอย่าหวังว่า การอยู่ร่วมกันของเราจะสุขสงบได้ นับจากนี้ไป หาก “เชื้อไฟ” ทั้งหลาย ยังถูกก่อและโหมกระพืออยู่ไม่รู้จบ
1) ความเกลียดชัง
นอกเหนือจากการ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” อย่างกรณี ชูประเด็นให้ต้องเลือก ว่ามีเพียง “ทหาร-รัฐประหาร-เผด็จการ” กับ “ประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นการหาประโยชน์จาก “ความเกลียด” ที่เห็นได้ชัดแล้ว เราควรหยุดการใช้ “ความเกลียด” เป็นเครื่องมือเข้าสู่อำนาจ เช่น เกลียดทักษิณ เกลียดคนย้ายพรรค เกลียดทหาร เกลียดมาร์ค ดีแต่พูด ฆาตกรมือเปื้อนเลือด ฯลฯ
หลักที่สำคัญของ “ประชาธิปไตย” คือ อยู่ร่วมกับคนคิดต่างได้ ไม่ทำร้ายกัน ไม่ฆ่ากัน แม้เห็นไม่เหมือนกัน ชอบผู้นำคนละคนกัน เพราะประชาธิปไตยคือยอมให้ความต่างดำรงอยู่ได้ ภายใต้กติกาที่กำหนดร่วมกัน อาศัยความต่างที่สุจริตใจนั้น “ดุลและคาน” ผ่านการ “ตรวจสอบ”
ทุกกลุ่มอุดมการณ์ควรมีสิทธิเสนอตัว แล้วหาคนที่นิยมชมชอบหรือคนอุดมการณ์เดียวกันมาหนุน โดยไม่ต้องเกลียดชัง แค้นเคืองคนต่างอุดมการณ์ ต่างความเชื่อ ขอเพียงทุกคนตั้งหลักอยู่ที่ ฉันจะหา “ตัวแทน” ของฉัน ไปเป็นปากเป็นเสียงในระบบ “รัฐสภา” ความราบรื่นก็จะเกิด และทุกคนจะทุ่มเทต่อการ “เลือกตัวแทน” ของตน เพียงเพราะอยากให้เขา “เป็นตัวแทน” เท่านั้น ไม่ใช่เลือกเพื่อไปห้ำหั่นใคร
2) การสื่อสารที่บิดเบือน
บีบีซีไทย คิดสโลแกนผ่านบทความให้แก่พรรครวมพลังประชาชาติไทย หลังได้สัมภาษณ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่า “พรรคพสกนิกร” และ “รับใช้กษัตริย์ ขจัดระบอบทักษิณ” เป็นการสรุปที่ “น่ากลัว” มาก
รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า พระมหากษัตริย์นั้น ทรงอยู่ในฐานะ “ประมุข” ที่ “ผู้ใดจะละเมิดมิได้” มีกฎหมายอาญามาตรา 112 คุ้มครองการละเมิด และมีระบบกลไกอื่นๆ อีกมากที่คุ้มครองอยู่ แต่แน่ละ ที่ผ่านมา มีกลุ่มคนที่ประดิษฐ์วาทกรรมขึ้นมาจาบจ้วงสารพัด ก็มีพสกนิกรที่จงรักภักดีออกมาปกป้องและเทิดทูน อย่างไรก็ตาม ท่านทรงอยู่ “เหนือการเมือง” อยู่ “เหนือความขัดแย้ง” หากไปดึงสถาบันมาเป็นสโลแกน มาเป็นภารกิจ ย่อมไม่ถูกต้อง
แต่!!
ในความเป็นจริง บทความดังกล่าว นายสุเทพพูดชัดมากว่า “แม้ประกาศตัวเป็น “พรรคพสกนิกร” แต่ยืนยันว่า รปช. ไม่ใช่ “พรรคโหนเจ้า”
“ตอนที่เราชุมนุมปี 2556-2557 เหตุผลหนึ่งเราก็เป็นห่วงสถาบันพระมหากษัตริย์นะ เพราะว่าตอนนั้นมีการลบหลู่ มีความพยายามที่จะใส่ร้ายสถาบันอยู่มาก แต่ถ้าสังเกตดูบนเวทีทุกคืนเราไม่เคยพูดเลย ผมไม่เคยพูดเลย คนของเราไม่เคยพูดเลย ประชาชนที่มาชุมนุมก็ไม่พูดเลย เก็บไว้ในใจ เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่พฤติกรรมของคนที่จะโหนเจ้า แต่ว่าเมื่อจะทำการเมืองเราเริ่มเห็นว่ามีนักการเมืองบางกลุ่มบางพวกได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เอาเจ้า เราจึงได้กำหนดเป็นอุดมการณ์ข้อหนึ่งของเราเลยว่าเราเทิดทูนจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ว่าจะไม่เอาประเด็นเหล่านี้ไปพูดจาหาเสียง ไม่ใช่โหนเจ้าอย่างนั้น”
ก็น่าคิดว่า เหตุใด สำนักข่าวบีบีซีไทย ยังพาดหัวราวกับว่านายสุเทพ แอบอิงและโน้มเอาสถาบันมาสู่การเมืองอย่างไม่เหมาะควรเช่นกัน และควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่า เป็นการทำหน้าที่ “สื่อ” ที่มีวาระแฝงเร้น หรือตรงไปตรงมากันแน่
การ “พูดไม่หมด” หรือการ “พาดหัวชี้นำ” แบบนี้ คือเชื้อไฟหนึ่งของความขัดแย้ง เพราะคนจำนวนไม่น้อยขาดนิสัยในการ “อ่านให้ครบ” ก็จะจำแต่พาดหัวข่าวไป แล้วไปตั้งข้อรังเกียจ เจ็บแค้น หรือกินแหนงแคลงใจได้
3) สื่ออย่าเอาแต่ตั้งรัฐบาล
สื่อ ซึ่งเป็นตัวกลางระหว่างข้อเท็จจริง เหตุการณ์ กับการรับรู้ของประชาชนต้องตั้งหลักดีๆ อย่ามัวแต่ข้ามขั้นไป “จัดตั้งรัฐบาลล่วงหน้า” เช่น พยายามตั้งคำถามว่า ประชาธิปัตย์จะรวมกับพรรคของรัฐบาล ของ คสช. ของ พล.อ.ประยุทธ์ ไหม หรือเพื่อกีดกันทหาร พรรคประชาธิปัตย์จะจับมือกับพรรคเพื่อไทยไหม
สื่อ มีหน้าที่ชี้ให้ประชาชนเห็นว่า ในยุคของการเรียกร้องการปฏิรูป พรรคการเมืองแต่ละพรรคปฏิรูปตัวเองไหม การเมืองที่เอาแต่นั่งเคาะเครื่องคิดเลข ว่าใครจะได้คะแนนเท่าไหร่ เทียบสัดส่วนออกมา ได้เก้าอี้กี่เก้าอี้ จากนั้นเอาจำนวนเก้าอี้มาตั้งรัฐบาลล่วงหน้า ทำให้ “ประชาชนไม่เห็นคุณค่าของการเลือกตั้ง”
ประชาชนกลายเป็นแค่ “เบี้ย” หรือคน “เขี่ยบอล”
แท้จริงแล้ว หน้าที่ของประชาชนในการเลือกตั้ง ที่สื่อควรจะปลุกเร้า คือ ต้องเอาจริงเอาจังที่จะสะท้อน “ความต้องการ” ของตัวเองออกมา ด้วยการพิจารณา “เลือกตัวแทน” ที่ตนเองต้องการ โดยเน้นไปที่
• เขารู้ปัญหาของเราไหม เขาใส่ใจมันเพียงใด
• ปัญหาที่เรามี เขามีแนวทางแก้ไขอย่างไร เช่น ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ปัญหาแรงงาน ปัญหาการศึกษา ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการคมนาคมขนส่ง ปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกิน ปัญหาหนี้สิน ฯลฯ
• เช่นเดียวกับปัญหาอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ใช่ปัญหาที่เราเผชิญหน้าอยู่ในเวลานี้โดยตรง แต่เป็นปัญหาที่ชาวบ้านอาจไม่รู้ ดูไม่ออก นึกไม่ถึง เขานึกถึงกันไหม และเขาเตรียมการป้องกันอย่างไร เช่น สังคมสูงวัยที่กำลังจะมาถึง การเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ ที่ทำให้มนุษย์ถูกลดการจ้างงานลง สงครามการค้าโลก เป็นต้น
• ให้เขาแสดงวิสัยทัศน์กันออกมา อย่าเอาแต่ด่ากันไปด่ากันมา แล้วก็คาบคำด่านั้นมาเสนอผ่านหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และออนไลน์ ให้คนพลอยด่าไปด้วย สั่งสมแต่การเผชิญหน้าและเกลียดชังต่อกัน
• การทำให้ประชาชนสนใจวิสัยทัศน์ของพรรคการเมือง ก็เพื่อชี้ว่า วิสัยทัศน์ของเขาจะบอกกับประชาชนว่า ควรจะฝาก “ความหวังในการแก้ปัญหา” ไว้กับใคร และจงให้พื้นที่แก่พรรคการเมืองทั้งหลายได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านการแก้ปัญหาและพัฒนาออกมา ไม่ใช่อุทิศเนื้อที่และเวลาให้แก่การ “ค้าความขัดแย้ง” และ “การโต้คารม”
• ต้องเร่งเร้าต่อว่า ทุกพรรคการเมืองไม่เพียงแค่แสดงวิสัยทัศน์เท่านั้นนะ แต่ต้องแสดง “คณะบุคคล” หรือ “คณะทำงาน” ที่จะทำหน้าที่แก้ปัญหาเหล่านั้น หรือพัฒนาเรื่องเหล่านั้น เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และโอกาสในการแข่งขันของประเทศชาติ
หากสื่อช่วยกัน “สร้างคุณค่า” ใน “หน้าที่” ของ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ว่าคือสิ่งเหล่านี้ คนจะได้ผลจากการเลือกสี เลือกข้าง เลือกขั้ว พรรคการเมืองก็เลิกมั่ว ด่าทอกันไปกันมา และหาทางแต่จะเป็น “รัฐบาล” แต่ทุกคน ทุกฝ่าย จะหันมาศึกษปัญหาของประชาชนและของประเทศชาติ จากนั้นจะได้เสนอหนทางแก้ไขปัญหา หนทางในการพัฒนา ในการยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อมนำเสนอตัวบุคคล พาคนมองไปข้างหน้า มากกว่าไปขุดความขัดแย้งเก่าๆ เอามาหลอกหลอน ให้เลือกตั้งด้วยความกลัวบ้าง ด้วยความเกลียดบ้าง ด้วยการมุ่งจะเอาชนะในฐานะพวก ข้าง หรือฟากฝ่ายบ้าง จนลืมหัวใจสำคัญของการ “หาตัวแทน” ที่แท้จริงของตน
4) กรรมการที่ไม่เป็นกลาง
อันนี้เป็นเชื้อไฟที่น่ากลัว เพราะท้ายที่สุด จะนำไปสู่การ “ตีรวน” หลังการเลือกตั้ง ลำพังแค่โอนอำนาจการเลือก สว.ทั้งหมด ไปให้ คสช. เลือกในขั้นตอนสุดท้าย และบางส่วนมาโดยตำแหน่งแล้ว ยังให้อำนาจ สว.มาก้าวล่วงกิจกรรมที่เดิมเป็นของ สส. เท่านั้น อย่างการร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี ล้วนแต่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นกติกาที่ไม่เป็นธรรม เป็นการครอบงำกลไกอำนาจเพื่อจะ “สืบทอดอำนาจ” คนไม่ได้มองเป็นการ “ดุลและคานอำนาจ” เพราะมันเป็นอำนาจที่ละเมิดการมีส่วนร่วมของประชาชน และก้าวล่วงอำนาจของ “ตัวแทนประชาชน”
จึงจะเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น เรียกร้องตลอดเวลาว่า ขอให้ สว. ของ คสช. พึงเคารพเงื่อนไขว่า จะไม่ละเมิดเสียงที่ประชาชนเขาส่งสัญญาณมา ว่าเขาต้องการให้ใครเป็นรัฐบาล ก็คือ ควรให้ สส.ทั้งสภา ได้หานายกรัฐมนตรีด้วยกลไกของเขาและตัวพวกเขาเองเสียก่อน สว.จะไม่แทรกแซงตั้งแต่ต้น เพื่อกีดกันคนนั้น ส่งเสริมคนนี้ หรือนำไปสู่ต้องมี “คนนอกบัญชี” มาเป็นนายกฯ
ยังไม่รวมเสียงเรียกร้อง โอดครวญจากทุกพรรคการเมืองว่า ปล่อยให้กลุ่มการเมืองอย่างกลุ่มสามมิตร หรือเครือข่ายที่ต้องสงสัยว่า เป็นของพรรคปลังประชารัฐ ซึ่งก็ต้องสงสัยเช่นกันว่า เป็นของรัฐบาลปัจจุบัน เป็นของทหาร เป็นของ คสช. เป็นบันไดสู่การเป็นนายกฯ ครั้งถัดไปของ พล.อ.ประยุทธ์ เคลื่อนไหวอยู่ฝ่ายเดียว เดินสายได้ ชวนคนนั้นคนนี้มาร่วมงานได้ พบปะกันได้ หารือกันได้ แต่พรรคการเมืองทั้งหลาย ไม่ว่าพรรคเก่าหรือพรรคตั้งใหม่ กลับทำไม่ได้
ไหนจะ ครม.สัญจร ทั่วประเทศ แจกเงินคนจน แจกที่ดิน แจกสารพัดนั่นอีก ที่หมิ่นเหม่ต่อการตีความ ว่าเป็นการทำงานตามปกติของรัฐบาล หรือเป็นการหาเสียงล่วงหน้าอยู่ข้างเดียว
ยังรวมไปถึงการปิดกั้นการใช้สื่อออนไลน์ สื่อสารกับประชาชนและสมาชิกพรรค ทั้งๆ ที่ควรให้โอกาสและสร้างบรรยากาศที่ดี ในการนำไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งข้อกังวลว่าจะมีการปลุกระดม ใส่ร่าย ยุยง ปลุกปั่นนั้นก็มีกฎหมายอื่นๆ บังคับควบคุมอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างแค่นี้พอ แต่ขอให้เข้าใจให้ตรงกันว่า บรรยากาศทั้งหลายที่ผมยกตัวอย่างมา ล้วนทำให้เกิดอาการ “คาใจ” หรือ “คลางแคลงใจ” ว่า กรรมการเป็นกลางไหม
สรุป :: แผ่นดินของเรา มีปัจจัยที่พร้อมจะ “ลุกเป็นไฟ” เช่นกันกับมีปัจจัยที่จะ “ก้าวไปข้างหน้า” อะไรที่เคยเกิด ไม่ใช่ถูกลบทิ้งไป ยังคงอยู่ แต่ถูกมองด้วย “การเรียนรู้” และมีกระบวนการลงโทษต่อคนทำผิดอย่างเหมาะสม เป็นธรรม เปิดเผยให้สังคมมั่นใจพอที่จะ “วางมันลง” แล้วคิดใหม่ไปข้างหน้า
การเอาเงื่อนไข รักเจ้า-ไม่เอาเจ้า เผด็จการหรือประชาธิปไตย ใครเลวกว่าใคร ใครเคยเผาบ้านเผาเมือง ใครเคยปิดสนามบิน ใครเคยเป่านกหวีด มาทิ่มแทงกันโดยไม่เรียนรู้ร่วมกัน ผมไม่เห็นประโยชน์ของมัน เช่นเดียวกับการเอา “ผีทักษิณ” มาหลอกหลอนกันเอง
ถึงเวลา “ลดเชื้อไฟ-ให้ความคิด-มีความหวัง”
แล้วเอาพลังแห่งความเป็นสื่อมวลชน-ประชาชน มาผลักดันบ้านเมืองของเรา ให้พ้นเปือกตมเก่าๆ กันเถอะ
เราติดหล่มทางการเมืองกันมานานเกินไปแล้ว!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี